เราสองคน คาดหวังไว้ถึงชีวิตคู่อันแสนจะอบอุ่น ผมกับเธอในบ้านหลังไม่ใหญ่นัก และลูกน้อยซึ่งเป็นโซ่ทองคล้องใจของเราสองคน กับหมาพันธุ์หนวดยาว (ชเนาว์เซอร์) อีกหนึ่งตัว มันคือการพูดคุยที่มีแต่รัศมีแห่งความสุขแผ่ซ่านออกมา ซึ่งผมเข้าใจว่า มันคือความ "พร้อม" โดยอันที่จริงก่อนที่เราจะคบหากันนั้น เราทั้งคู่ต่างก็ถวิลหาชีวิตหลังแต่งงานเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
"เฮ้อ...อยู่คนเดียวนี่มันเหงาเหมือนกันเนอะ กูอยากแต่งงานว่ะ" ผมตัดพ้อกับเพื่อนคนหนึ่ง
"นายพูดเหมือนเพื่อนกูเป๊ะเลย เมื่อวานมันก็เพิ่งโทรศัพท์มารำพึงรำพันว่าอยากจะแต่งงาน" สิ้นเสียงเพื่อน ผมถามกลับไปด้วยความสงสัย "แล้วทำไมเพื่อนมึงมันไม่ไปบอกแฟนมันวะ จะมาบอกมึงทำไม"
"ตอนนี้มันน่าจะไม่มีใครนะ" แล้วไอเดียเพื่อนผมก็บังเกิด "เออ...มึงสองคนก็เป็นแฟนกันเลยดิ จะได้แต่งงานกันสักที ไม่ต้องมาบ่นให้กูฟังอีก" พูดจบ เสียงหัวเราะก็ดังตามมา พร้อมกับการสวมบทบาทแม่สื่อของเจ้าเพื่อนคนนี้
ครั้ง แรกที่ผมเจอกับเธอ คล้ายกับว่ามีอะไรบางอย่างกั้นเราไว้ ผมไม่กล้าพูดคุยหรือสบตากับเธอแม้สักนิด ผิดกับเธอที่ปล่อยความเป็นตัวเองออกมาอย่างน่าตกใจ ถ้าเป็นคนอื่นอาจถอยหนี แต่ผมกลับตกหลุมรักเธอเข้าอย่างจัง
อาจ เป็นเพราะกรรมเก่าที่สร้างไว้ ภาพของหนุ่มเจ้าชู้ประตูดินจึงเสมือนเป็นตัวแทนของผมอยู่ในความคิดของเธอ แม่สื่อจึงพยายามเตือนผมอยู่เสมอว่า "ไอ้โน้ตมันไม่ชอบคนโกหก" นั่นเองที่ทำให้ผมพยายามเคลียร์ตัวเองจากสิ่งที่จะทำให้ผมติดลบทุกอย่าง
กระนั้นกว่าจะเอาชนะใจเธอได้และขยับฐานะจากเพื่อนมาเป็นแฟนก็ต้องใช้เวลาอยู่นานพอดู ผมกลายเป็น "คนใหม่" เพื่อ "รักใหม่" แม้การเป็น "คนเก่า" ของผมจะเป็นที่ถวิลหาของชายหนุ่มหลายๆ คนก็ตาม แต่สิ่งดีที่ได้จากการเป็น "คนใหม่" ก็ทำให้ผมรู้สึกมั่นคง และสามารถถอยชีวิตออกมาจาก "ปากเหวแห่งความสุ่มเสี่ยง" ได้ นี่เองที่ทำให้ผมตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกับเธอ
ซึ่งเธอก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร ได้แต่เพียงบอกกับผมว่า "คิดให้ดีๆ โน้ตไม่อยากแต่งแล้วต้องมาเลิกกันทีหลังนะ" และเพราะประโยคนี้ของเธอนี่เองที่ทำให้ผมเริ่มไม่แน่ใจ "ตกลงเราพร้อมจริงหรือ"
หลายวันต่อมาผมจึงนำข่าวดีไปปรึกษาพี่ชาย "ผมว่าจะแต่งงาน พี่ว่าไง" ก็ไม่ว่าไร ในเมื่อตัดสินใจไปแล้วจะว่าอะไรได้ สไตล์การตอบของเขายังคงน่าหมั่นไส้เช่นเคย แต่ท้ายที่สุดคำปรึกษาที่ผมต้องการก็หลุดออกมา "ถ้ามึงคิดจะไปรับผิดชอบใคร จำไว้ว่าต้องรับผิดชอบตัวเองให้ได้ก่อน" ผมโดนพี่ชายซัลโวเข้ากลางใจ ตามด้วยฟรีคิกของแม่ที่ทำให้ผมต้องครุ่นคิด เมื่อผมได้โทรศัพท์ไปบอกข่าวดีกับแม่อีกคน "จะแต่งงานแล้วนะ"
ตอน แรกแม่นึกว่าผมพูดเล่น แต่พอท่านรู้ว่าเป็นเรื่องจริงผมก็กลายร่างเป็นเด็กสิบขวบทันที แม่ไม่ว่าหรอกนะถ้าเราจะแต่งงาน แต่เราต้องมั่นใจก่อนนะว่าเขาจะอยู่กับเราได้ แม่รู้ว่าเราเป็นคนยังไง ใจร้อน เอาแต่ใจ และยังมีนิสัยเป็นเด็กอยู่เลย เขารู้ไหมว่าเราเป็นแบบนี้ เขาจะทนเราได้ไหม เราต้องคิดนะ
แม่ ไม่อยากให้เราแบบ...อยากแต่งก็แต่ง พออยู่ด้วยกันไม่ได้ก็เลิก แม่ไม่อยากให้เป็นแบบนี้ ไอ้เราไม่เป็นไรหรอก แต่ฝ่ายหญิงเขาจะเสียหาย ที่สำคัญมันเป็นการไม่ให้เกียรติครอบครัวเขาด้วย เพราะฉะนั้นคิดดีๆ ต้องให้แน่ใจนะว่าเขาจะอยู่กับเราได้จริงๆ หลังจากแม่สาธยายคำสอนมาซะยืดยาว ท่านก็ทิ้งท้ายย้ำอีกเล็กน้อยว่า "แต่แม่ก็แล้วแต่เรานะ"
หลัง จากได้ฟังคำสอนของแม่กับพี่ชาย อีกสัปดาห์ต่อมา แฟนผมก็นำความคิดเห็นของผู้ใหญ่ฝ่ายเธอมาให้ผมรับทราบอย่างต่อเนื่อง และก็เป็นป๊ะป๋าของเธอนั่นเองที่เป็นคนโขกประตูที่สามปิดเกม
เธอ เล่าว่า...ปะป๊าของเธอไม่ว่าอะไรอยู่แล้วถ้าผมจะแต่งงานกับเธอ แต่ท่านอยากให้รอให้พร้อมมากกว่านี้ก่อน ท่านเห็นว่าถ้าจะตัดสินใจทำอะไรในตอนนี้มันจะเกินกำลังของผมกับเธอ เพราะแต่งงานมันมีภาระใช้จ่ายเยอะ ไหนจะชีวิตครอบครัวในภายภาคหน้าอีก ท่านกลัวว่ามันจะหนักผม เพราะจากท้องเดียว ก็จะกลายเป็นสองท้อง และถ้ามีลูกก็ต้องกลายเป็นสามท้อง ท่านกลัวว่าด้วยภาระที่เกิดขึ้นจะมีผลเสียต่อการทำงาน ท่านอยากให้ผมเต็มที่กับงานไปในระดับหนึ่งก่อน เมื่อมั่นคงพอประมาณแล้วค่อยแต่งงานก็ไม่เสียหาย
ซึ่งแน่นอนว่าผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายต่างมีความเห็นค่อนข้างจะไปในแนวทางเดียวกัน ถ้าเป็นสกอร์ (ฟุตบอล) "ฝ่ายไตร่ตรอง" ก็ทำแฮตทริก (3:0) ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วน "ฝ่ายแต่งงาน" ก็ต้องกินไข่ไร้แต้มไปตามระเบียบ
ท้ายที่สุดการแต่งงานที่เราวาดหวังไว้จึงจำเป็นต้องหยุดพัก! เมื่อ "ความพร้อม" ที่เคยคิดว่า "ใช่" ได้ถูกประสบการณ์ของผู้ใหญ่เผย "ความใจร้อน" ออกมา
กระนั้นความรักของเราก็ยังคงดำเนินต่อไป . . . พร้อมๆ กับ "ความเชื่อใจ" ที่ผมจะต้องทำให้ทุกฝ่ายยอมรับเพิ่มเข้ามา ไม่ง่ายเลยนะครับ สำหรับการแต่งงาน จริงอย่างที่เขาว่า "แค่คำว่ารักยังคงไม่พอ" สกอร์ถึงได้ออกมาแบบนี้
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
"เฮ้อ...อยู่คนเดียวนี่มันเหงาเหมือนกันเนอะ กูอยากแต่งงานว่ะ" ผมตัดพ้อกับเพื่อนคนหนึ่ง
"นายพูดเหมือนเพื่อนกูเป๊ะเลย เมื่อวานมันก็เพิ่งโทรศัพท์มารำพึงรำพันว่าอยากจะแต่งงาน" สิ้นเสียงเพื่อน ผมถามกลับไปด้วยความสงสัย "แล้วทำไมเพื่อนมึงมันไม่ไปบอกแฟนมันวะ จะมาบอกมึงทำไม"
"ตอนนี้มันน่าจะไม่มีใครนะ" แล้วไอเดียเพื่อนผมก็บังเกิด "เออ...มึงสองคนก็เป็นแฟนกันเลยดิ จะได้แต่งงานกันสักที ไม่ต้องมาบ่นให้กูฟังอีก" พูดจบ เสียงหัวเราะก็ดังตามมา พร้อมกับการสวมบทบาทแม่สื่อของเจ้าเพื่อนคนนี้
ครั้ง แรกที่ผมเจอกับเธอ คล้ายกับว่ามีอะไรบางอย่างกั้นเราไว้ ผมไม่กล้าพูดคุยหรือสบตากับเธอแม้สักนิด ผิดกับเธอที่ปล่อยความเป็นตัวเองออกมาอย่างน่าตกใจ ถ้าเป็นคนอื่นอาจถอยหนี แต่ผมกลับตกหลุมรักเธอเข้าอย่างจัง
อาจ เป็นเพราะกรรมเก่าที่สร้างไว้ ภาพของหนุ่มเจ้าชู้ประตูดินจึงเสมือนเป็นตัวแทนของผมอยู่ในความคิดของเธอ แม่สื่อจึงพยายามเตือนผมอยู่เสมอว่า "ไอ้โน้ตมันไม่ชอบคนโกหก" นั่นเองที่ทำให้ผมพยายามเคลียร์ตัวเองจากสิ่งที่จะทำให้ผมติดลบทุกอย่าง
กระนั้นกว่าจะเอาชนะใจเธอได้และขยับฐานะจากเพื่อนมาเป็นแฟนก็ต้องใช้เวลาอยู่นานพอดู ผมกลายเป็น "คนใหม่" เพื่อ "รักใหม่" แม้การเป็น "คนเก่า" ของผมจะเป็นที่ถวิลหาของชายหนุ่มหลายๆ คนก็ตาม แต่สิ่งดีที่ได้จากการเป็น "คนใหม่" ก็ทำให้ผมรู้สึกมั่นคง และสามารถถอยชีวิตออกมาจาก "ปากเหวแห่งความสุ่มเสี่ยง" ได้ นี่เองที่ทำให้ผมตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกับเธอ
ซึ่งเธอก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร ได้แต่เพียงบอกกับผมว่า "คิดให้ดีๆ โน้ตไม่อยากแต่งแล้วต้องมาเลิกกันทีหลังนะ" และเพราะประโยคนี้ของเธอนี่เองที่ทำให้ผมเริ่มไม่แน่ใจ "ตกลงเราพร้อมจริงหรือ"
หลายวันต่อมาผมจึงนำข่าวดีไปปรึกษาพี่ชาย "ผมว่าจะแต่งงาน พี่ว่าไง" ก็ไม่ว่าไร ในเมื่อตัดสินใจไปแล้วจะว่าอะไรได้ สไตล์การตอบของเขายังคงน่าหมั่นไส้เช่นเคย แต่ท้ายที่สุดคำปรึกษาที่ผมต้องการก็หลุดออกมา "ถ้ามึงคิดจะไปรับผิดชอบใคร จำไว้ว่าต้องรับผิดชอบตัวเองให้ได้ก่อน" ผมโดนพี่ชายซัลโวเข้ากลางใจ ตามด้วยฟรีคิกของแม่ที่ทำให้ผมต้องครุ่นคิด เมื่อผมได้โทรศัพท์ไปบอกข่าวดีกับแม่อีกคน "จะแต่งงานแล้วนะ"
ตอน แรกแม่นึกว่าผมพูดเล่น แต่พอท่านรู้ว่าเป็นเรื่องจริงผมก็กลายร่างเป็นเด็กสิบขวบทันที แม่ไม่ว่าหรอกนะถ้าเราจะแต่งงาน แต่เราต้องมั่นใจก่อนนะว่าเขาจะอยู่กับเราได้ แม่รู้ว่าเราเป็นคนยังไง ใจร้อน เอาแต่ใจ และยังมีนิสัยเป็นเด็กอยู่เลย เขารู้ไหมว่าเราเป็นแบบนี้ เขาจะทนเราได้ไหม เราต้องคิดนะ
แม่ ไม่อยากให้เราแบบ...อยากแต่งก็แต่ง พออยู่ด้วยกันไม่ได้ก็เลิก แม่ไม่อยากให้เป็นแบบนี้ ไอ้เราไม่เป็นไรหรอก แต่ฝ่ายหญิงเขาจะเสียหาย ที่สำคัญมันเป็นการไม่ให้เกียรติครอบครัวเขาด้วย เพราะฉะนั้นคิดดีๆ ต้องให้แน่ใจนะว่าเขาจะอยู่กับเราได้จริงๆ หลังจากแม่สาธยายคำสอนมาซะยืดยาว ท่านก็ทิ้งท้ายย้ำอีกเล็กน้อยว่า "แต่แม่ก็แล้วแต่เรานะ"
หลัง จากได้ฟังคำสอนของแม่กับพี่ชาย อีกสัปดาห์ต่อมา แฟนผมก็นำความคิดเห็นของผู้ใหญ่ฝ่ายเธอมาให้ผมรับทราบอย่างต่อเนื่อง และก็เป็นป๊ะป๋าของเธอนั่นเองที่เป็นคนโขกประตูที่สามปิดเกม
เธอ เล่าว่า...ปะป๊าของเธอไม่ว่าอะไรอยู่แล้วถ้าผมจะแต่งงานกับเธอ แต่ท่านอยากให้รอให้พร้อมมากกว่านี้ก่อน ท่านเห็นว่าถ้าจะตัดสินใจทำอะไรในตอนนี้มันจะเกินกำลังของผมกับเธอ เพราะแต่งงานมันมีภาระใช้จ่ายเยอะ ไหนจะชีวิตครอบครัวในภายภาคหน้าอีก ท่านกลัวว่ามันจะหนักผม เพราะจากท้องเดียว ก็จะกลายเป็นสองท้อง และถ้ามีลูกก็ต้องกลายเป็นสามท้อง ท่านกลัวว่าด้วยภาระที่เกิดขึ้นจะมีผลเสียต่อการทำงาน ท่านอยากให้ผมเต็มที่กับงานไปในระดับหนึ่งก่อน เมื่อมั่นคงพอประมาณแล้วค่อยแต่งงานก็ไม่เสียหาย
ซึ่งแน่นอนว่าผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายต่างมีความเห็นค่อนข้างจะไปในแนวทางเดียวกัน ถ้าเป็นสกอร์ (ฟุตบอล) "ฝ่ายไตร่ตรอง" ก็ทำแฮตทริก (3:0) ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วน "ฝ่ายแต่งงาน" ก็ต้องกินไข่ไร้แต้มไปตามระเบียบ
ท้ายที่สุดการแต่งงานที่เราวาดหวังไว้จึงจำเป็นต้องหยุดพัก! เมื่อ "ความพร้อม" ที่เคยคิดว่า "ใช่" ได้ถูกประสบการณ์ของผู้ใหญ่เผย "ความใจร้อน" ออกมา
กระนั้นความรักของเราก็ยังคงดำเนินต่อไป . . . พร้อมๆ กับ "ความเชื่อใจ" ที่ผมจะต้องทำให้ทุกฝ่ายยอมรับเพิ่มเข้ามา ไม่ง่ายเลยนะครับ สำหรับการแต่งงาน จริงอย่างที่เขาว่า "แค่คำว่ารักยังคงไม่พอ" สกอร์ถึงได้ออกมาแบบนี้
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
--~--~---------~--~----~------------~-------~--~----~
**** รู้จักขอบคุณเมื่อได้รับ ขออภัยเมื่อผิดพลาด คือสิ่งที่สมาชิกกลุ่มพึงกระทำ ****
กติกา ง่ายๆ ในกลุ่ม
0. ห้ามโพสเรื่องการเมือง หรือถกเถียงเรื่องการเมืองที่จะก่อความวุ่นวายภายในกลุ่ม
ฝ่าฝืนแบนทันทีโดยไม่แจ้งให้ทราบ
1. ห้ามโพสรูปภาพหรือข้อความที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ในทางเสื่อมเสีย
2. ห้ามใช้วาจาหยาบคาย ห้ามบ่นว่าเมล์ หรือ reply เยอะ
3. ห้ามโฆษณาที่หวังผลประโยชน์ทางการค้า ใครโพสแบนทันทีโดยไม่แจ้งให้ทราบ
4. ไม่ได้รับเมล์อีก(กรุณาอ่านด้วย) http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=nulex&group=1
5. กรุณาใช้ถ้อยคำที่สุภาพ
6. ห้ามส่ง Invite เวปบิทเข้ากรุ๊ปโดยเด็ดขาด
- ส่งเมล์เข้ากลุ่มได้ที่ nulex@googlegroups.com
- สมัครรับเมล์-ส่งเมล์เปล่ามาที่ nulex-subscribe@googlegroups.com
- ลาออกจากกลุ่ม-ส่งเมล์เปล่ามาที่ nulex-unsubscribe@googlegroups.com
* ทั้งสมัครและลาออก ต้องยืนยันลิงค์จากระบบทุกครั้ง
อย่าลืมนะคะ มีอะไรก็แบ่งปัน
^ นู๋เล็ก ^
Group's Owner
(-`๏'•ิ__•ิ`๏'-)
-~----------~----~----~----~------~----~------~--~---
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น