กรณีนี้ให้กำชับผู้บังคับบัญชาที่อนุญาตให้ลากิจไปนะครับ
เพราะกรณีลากิจนายจ้างมีอำนาจที่จะไม่อนุญาตได้ ยกเว้นว่าเป็นกิจธุระอันจำเป็นจริง ๆ
ซึ่งพฤติกรรมของพนักงานคนนี้ที่ลากิจไปถึงแม้จะอ้างว่ามีความจำเป็น แต่การที่ลาไปทำงานกับบริษัทอื่นก็ไม่ถูกต้องครับ
และเข้าข่ายที่เอาเปรียบนายจ้างครับ ซึ่งอาจทำให้ธุรกิจนายจ้างเสียหายได้ด้วย
นอกจากนี้หากระเบียบของนายจ้าง กำหนดให้จ่ายค่าจ้างในวันลากิจให้แก่ลูกจ้างด้วยแล้ว นายจ้างมีสิทธิเลิกจ้างได้ทันทีโดยไม่จ่ายค่าชดเชยครับ
เพราะเข้าข่ายการกระทำอันเป็นการแสวงหาผลประโยชน์อันมิควรได้ หรือทุจริตต่อหน้าที่ตามมาตรา 119 ครับ
ในทางคดีแล้ว หากนายจ้างได้อนุญาตให้ลากิจไป นายจ้างจะเสียเปรียบได้ครับ ต่อไปให้ผู้บังคับบัญชาเข้มงวดเรื่องนี้มากขึ้นนะครับ
ส่วนลาพักร้อนนั้น ตามกฎหมายคือวันหยุด ไม่ใช่วันลา ที่เรียกว่าวันหยุดพักผ่อนประจำปี ตามมาตรา 30 ครับ
นายจ้างมีสิทธิที่กำหนดให้ลูกจ้างหยุดพักผ่อนประจำปีวันไหนก็ได้ หรือนายจ้างกับลูกจ้างอาจตกลงกันล่วงหน้าว่าจะหยุดวันไหนก็ได้ครับ
แต่ไม่ใช่ให้ลูกจ้างมาขอลา
ซึ่งเมื่อลูกจ้างได้หยุดไปตามสิทธิที่ตกลงกันกับนายจ้างไว้แล้ว เค้าจะไปทำอะไรก็ได้ แต่ถ้าไปทำงานอื่นที่ทำให้เกิดความเสียหายกับนายจ้าง
นายจ้างก็อาจพิจารณาโทษได้เช่นกันครับ เพราะวันหยุดพักผ่อนประจำปี นายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างตามมาตรา 56 ให้ด้วย
อย่างนี้ลูกจ้างก็อาจเข้าข่ายแสวงหาผลประโยชน์อันมีควรได้เช่นกันครับ
กรณีนี้นายจ้างต้องไปแก้ไขเอกสารทั้งหมด รวมทั้งระเบียบของวันหยุดพักผ่อนประจำปีให้ถูกต้องตามกฎหมายครับ ห้ามใช้คำว่าลาพักร้อนเด็ดขาด
เพราะไปสู้ทางคดีแล้ว จะเป็นโมฆะได้ครับ
ขอแนะนำในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า กรณีนี้คือ เรียกพนักงานมาตักเตือนด้วยวาจาไปก่อนครับ อธิบายให้เค้าเข้าใจว่าการกระทำอย่างนี้ทำให้นายจ้างเสียหาย
เพราะแทนที่จะทำงานให้นายจ้างได้เต็มที่ แต่กลับต้องลากิจไปทำงานให้บริษัทอื่น ซึงไม่เหมาะสมครับ และบอกไปด้วยว่า ถ้าเป็นกรณีลาไปทำงานอื่นอย่างนี้อีก
คราวต่อไป จะไม่อนุญาต อธิบายให้ครอบคลุมไปถึงโทษที่เค้าจะได้รับหากยังฝ่าฝืนเช่นนี้อีกด้วยครับ
หากพนักงานเชื่อฟังดี ก็จบครับ แต่หากยังมีพฤติการณ์เช่นเดิมอีก ก็ต้องตักเตือนเป็นหนังสือ และหากยังฝ่าฝืนซ้ำอีก ภายในระยะเวลา 1 ปี นับแต่วันที่กระทำผิดและได้รับหนังสือเตือนไปแล้ว
ก็เลิกจ้างได้ทันทีโดยไม่จ่ายค่าชดเชยครับ
นอกจากนี้หากยังไม่มีระเบียบเรื่องนี้กำหนดไว้ในข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ก็ควรเขียนเพิ่มเติมขึ้นมาให้ครอบคลุม และส่งให้พนักงานตรวจแรงงานสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
รับทราบ แล้วก็ประกาศใช้ระเบียบนี้ให้พนักงานทุกคนทราบโดยทั่วกันครับ ต่อไปจะได้ชัดเจนมากขึ้น
อดิศร
From: wichean.moo@hotmail.com
To: adisorn_pers@hotmail.com
Subject: RE: [SIAMHRM.COM :31248] ห้ามพนักงานประกอบธุรกิจนอกเวลางาน ทำได้หรือไม่ครับ???
Date: Mon, 13 Dec 2010 17:27:13 +0700
สวัสดีครับ อ.อดิศร ขอแชร์ข้อมูลด้วยครับ พอดีที่บริษัทมีเหตุการณ์คล้ายแบบนี้ คือพนักงานใช้เวลาออกไปทำงานข้างนอก(งานลักษณะเดียวกับบริษัท)
แต่จะลาไปเช่น ลากิจ(เขียนในใบลาว่าทำธุระส่วนตัว),ลาพักร้อน แต่ตัวเองไปทำงานกับบริษัทนี้ โดยที่วันลาเป็นวันทำงาน อย่างนี้บริษัทลงโทษพนักงาน
ได้หรือไม่ครับ
Sam
From: adisorn_pers@hotmail.com
To: james.bodin0206@yahoo.co.th; lovelyhrs@googlegroups.com; siamhrm@googlegroups.com
Subject: RE: [SIAMHRM.COM :31248] ห้ามพนักงานประกอบธุรกิจนอกเวลางาน ทำได้หรือไม่ครับ???
Date: Mon, 13 Dec 2010 12:56:57 +0700
สวัสดีครับ อดิศร ครับ
ข้อที่ 1. นายจ้างจะออกระเบียบอย่างนี้มาก็ได้ครับ และถ้าลูกจ้างยินยอมลงนามในสัญญา ก็จะทำให้สัญญานั้นมีผลใช้บังคับได้เช่นกัน
เพราะนายจ้างอาจจะมีเหตุผลที่สมควรแก่เหตุในการทำสัญญาเป็นข้อกำหนดในการว่างจ้างลูกจ้างอย่างนี้ก็ได้ ขึ้นอยู่กับเหตุผลหรือเจตนารมณ์ของนายจ้าง
ว่าสมควรแก่เหตุหรือไม่ และลูกจ้างมีปัญหาในการทำงานกับนายจ้างหรือไม่
แต่ทั้งนี้หากเหตุผลนายจ้างไม่เพียงพอ หรือไม่มีเหตุผลอันควร และลูกจ้างไม่ยินยอม ลูกจ้างก็อาจไม่ลงนามในสัญญาก็ได้ ขึ้นอยู่กับความพอใจของลูกจ้างเช่นกันครับ
นายจ้างจะไปบังคับก็ไม่ได้ครับ สัญญาจ้างนั้นจะต้องตกลงยินยอมด้วยกันทั้งสองฝ่าย หรือหากลูกจ้างไม่เห็นด้วย อาจจะยอมลงนาม ( โดยนายจ้างบังคับ ) หรือไม่ยอมลงนามก็แล้วแต่
ฝ่ายลูกจ้างก็ไปร้องต่อพนักงานตรวจแรงงาน ในมาตรา 14/1 เพื่อให้ศาลบังคับนายจ้างให้ยกเลิกสัญญาที่ไม่เป็นธรรมต่อลูกจ้างได้ครับ
ประเด็นนี้นายจ้างน่าจะเสียเปรียบครับ เพราะดูแล้วไม่เป็นธรรมและอาจเข้าข่ายไปละเมิดสิทธิในการประกอบอาชีพอื่น ๆ ของลูกจ้างได้ครับ
ลูกจ้างย่อมมีสิทธิส่วนบุคคลที่จะประกอบอาชีพเสริมได้ หากว่าไม่เป็นการเบียดบังเวลาทำงานของนายจ้างหรือไม่เป็นอาชีพที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของนายจ้างครับ
ระเบียบที่ถูกต้องและเป็นธรรมด้วยกันทั้งสองฝ่าย น่าจะออกมาว่า ห้ามลูกจ้างใช้เวลาทำงานของนายจ้างไปประกอบอาชีพส่วนตัวหรืออาชีพอื่นใดที่ทำให้ธุรกิจนายจ้างเสียหายมากกว่าครับ ส่วนนอกเวลางานไม่ควรไปบังคับ
ข้อที่ 2. นายจ้างจะออกประกาศให้พนักงานแจ้งเรื่องการประกอบอาชีพอะไรอยู่บ้างก็ได้ครับ แต่ขึ้นอยู่กับว่านายจ้างเอาข้อมูลที่ได้มาทำอะไร
ถ้าทำแล้วเป็นคุณต่อลูกจ้างก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าทำแล้วเป็นโทษต่อลูกจ้างก็ไม่ได้ครับ ยกเว้นว่าอาชีพหรือกิจกรรมนั้นได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของนายจ้าง
นายจ้างก็อาจสั่งห้ามได้ ถ้าฝ่าฝืนก็ควรใช้กระบวนการพิจารณาทางวินัยเป็นราย ๆ ไป จึงจะสามารถแก้ปญหาได้แม่นยำและรวดเร็ว
แต่ถ้าจะเอาไปประกอบผลการพิจารณาเงินเดือนหรือโบนัส ไม่เหมาะสมในแง่การบริหารงานบุคคลอย่างยิ่งครับ
การประเมินผลหรือการบริหารผลงานก็ต้องมาดูในประเด็นของผลงาน ถ้าใครมีผลงานดีหรือไม่ดีอย่างไร ก็ว่ากันไปตามเนื้อผ้า
บางคนอาจทำธุรกิจส่วนตัวของเค้า ซึ่งไม่กระทบให้นายจ้างเสียหายอะไร และเค้ามีผลงานดีด้วย ก็ต้องให้เค้าไปตามผลที่ออกมาอย่างเป็นธรรมครับ
ถ้าเอาเกณฑ์อย่างนี้มาคิดด้วย ซึ่งมันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันเลย องค์กรนั่นล่ะครับที่จะเสียหาย
เพราะทำให้ลูกจ้างไม่ได้รับความเป็นธรรมกับนายที่ทำให้นายจ้างอยู่ การบริหารผลงานหรือการประมินผลงานเพื่อสร้างแรงจูงใจในองค์กรนั้น
หลักการแล้วมีวตถุประสงค์เพื่อนำผลที่ได้มาปรับปรุงพัฒนาศักยภาพของบุคลากรเป็นอันดับแรก ใครมีจุดแข็งอะไรก็ต้องนำมาวิเคราะห์
เพื่อพัฒนาจุดแข้งของเค้าให้เกิดประโยชน์ให้มากที่สุด หรือหากใครมีจุดอ่อนเรื่องอะไร ก็ต้องนำมาวิเคราะห์หาความจำเป็นในการฝึกอบรม
ส่วนผลตอบแทนนั้นเป็นผลพลอยได้ที่เราควรให้กับพนักงานที่
มีผลงานดี มีศักยภาพเป็นที่ยอมรับ เพื่อสร้างแรงจูงใจในองค์กรครับ
ถ้ามีระเบียบอย่างนี้ไม่เป็นผลดีต่อองค์กรแน่นอนครับ คงไม่มีใครอยากทำงานด้วย
ข้อที่ 3. ประเด็นนี้ขึ้นอยู่กับอาชีพหรือกิจกรรมที่ลูกจ้างทำครับ ว่าส่งผลเสียหายต่อนายจ้างหรือไม่
ถ้าส่งผลเสียหายจริง นายจ้างสามารถใช้อำนาจบังคับบัญชาสั่งห้ามได้ครับ ถ้าลูกจ้างฝ่าฝืนก็พิจารณาโทษได้
และอาจเป็นโทษร้ายแรงที่นายจ้างเลิกจ้างได้ทันทีโดยไม่จ่ายค่าชดเชยด้วยซ้ำ เช่นเอาเวลางานนายจ้างไปทำงานส่วนตัว
อย่างนี้ก็อาจเข้าข่ายทุตริตต่อหน้าที่ตามมาตรา 119 ได้ครับ
ในทางตรงข้าม หากอาชีพเสริมหรือกิจกรรมอะไรก็แล้วที่ลูกจ้างทำอยู่ แล้วไม่ส่งผลเสียหายต่อนายจ้าง
นายจ้างควรจะส่งเสริมหรือสนับสนุนด้วยซ้ำ เพื่อสร้างขวัญกำลังใจ และยังจะเป็นการเสริมทักษะให้ลูกจ้างมีศักยภาพ
มากขึ้นด้วยซ้ำ เช่นหากทำธุรกิจขายรถ แล้วลูกจ้างมีอาชีพเสริมค้าขายเสื้อผ้า ยิ่งน่าส่งเสริมมาก ๆ ด้วยซ้ำ
เพราะเป็นการฝึกให้ลูกจ้างทำธุรกิจ รู้จักค้าขายเป็น ถ้าลูกจ้างคนนั้นไม่ได้ทำงานฝ่ายขาย หากนายจ้างเห็นว่าจากการที่เค้าทำธุรกิจ
ส่วนตัวค้าขายอยู่ด้วย หากมีโอกาสก็ควรจะเลื่อนตำแหน่งเค้ามาทำฝ่ายขายเลยครับ อาจจะมาฝึกสอนทักษะเค้าเพิ่มเติมด้วยก็ยิ่งดี
นายจ้างมีแต่ได้กับได้นะครับ แม้กระทั่งส่งเสริมให้เค้าทำธุรกิจขายพวกอุปกรณ์ตกแต่งรถ หรือน้ำหอมปรับอากาศในรถ อะไรต่าง ๆ
เหล่านี้ ควรส่งเสริม มากกว่าไปห้ามครับ
จริง ๆ แล้วนายจ้างไม่ควรไปใช้วิธียุ่งยากว่าจะต้องให้ลูกจ้างส่งรายงานอะไรต่ออะไรมาให้อนุมัติเลยครับ
เสียเวลาเปล่า ๆ ง่าย ๆ เลย คือนายจ้างออกระเบียบมาเลยครับ อยากจะห้ามอะไร อยากจะแก้ปัญหาอะไรก็เขียนออกมา
เช่น ห้ามพนักงานทำธุรกิจที่เป็นการแข่งขันกับนายจ้าง
ห้ามพนักงานเอาเวลางานไปทำธุรกิจส่วนตัว
ห้ามพนักงานปล่อยเงินกู้ซื้อขายหวยใต้ดิน หรือเล่นแชร์กันภายในบริษัท
ห้ามพนักงานทำธุรกิจขายตรงที่เข้าข่ายแชร์ลูกโซ่
พร้อมทั้ง ออกคำเตือนกำกับท้ายข้อห้ามไปว่า
- พนักงานที่ทำธุรกิจส่วนตัวนอกจากที่ประกาศเป็นข้อห้ามแล้วนี้ ให้ทำได้
แต่จะต้องไม่ทำให้งานที่รับผิดชอบอยู่เสียหาย
- พนักงานที่ฝ่าฝืนข้อห้ามดังกล่าวและทำให้บริษัทเสียหาย อาจถูกพิจารณาเลิกจ้างได้ทันทีโดยไม่จ่ายค่าชดเชย
เป็นต้นครับ
อยากจะห้ามลูกจ้างทำอะไรก็เขียนออกมาเลย โดยไม่ไปละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของลูกจ้าง
นายจ้างมีสิทธิอยู่แล้ว เมื่อทำระเบียบนี้ออกมาแล้วก็ส่งให้พนักงานตรวจแรงงานเค้าตรวจสอบว่ามีอะไรขัดต่อกฎหมายหรือไม่
ถ้าเรียบร้อยดี ก็ประกาศออกมาให้ลูกจ้างทราบโดยทั่วกัน เท่านี้ก็เสร็จแล้วครับ ใครฝ่าฝืนก็ว่ากันไปตามมาตรการทางวินัยได้เลย
ง่ายกว่าเยอะครับ
ข้อที่ 4. ประกาศหรือระเบียบต่าง ๆ นั้น หลักการแล้วจะต้องทำให้มีความชัดเจน มีกรอบที่แน่นอน อ่านแล้วเข้าใจไปในเรื่องเดียวกัน
และต้องไม่ขัดต่อกฎหมาย มีความเป็นธรรมในการใช้บังคับ จะห้ามอะไรก็เขียนออกมาเป็นเรื่อง ๆ ไปเลยครับ อย่าเขียน
ให้กว้างจนเกินไป อะไรที่ควรระบุให้ชัดเจนก็ระบุลงไปได้แบบไม่ต้องเกรงใจเลยครับ ตราบใดที่ไม่ขัดต่อกฎหมาย
เพราะถ้าไม่เป็นไปตามนี้แล้ว เช่นเขียนออกมากว้างมากอย่างที่คุณบอกมา มันจะตีความได้หลายเรื่อง
หรือออกมาแล้วเป็นการเอาเปรียบลูกจ้างเกินสมควร
บอกได้เลยว่าปัญหาจะตามมามากมายให้ปวดหัว จนวัน ๆ หัวหน้าคุณคงไม่ต้องไปทำอะไรครับ
และต่อไปพนักงานคงทะยอยกันลาออกแน่ เพราะมีข้อห้ามเรื่อง ห้ามทำอาชีพเสริมนอกเวลางานอยู่ด้วย โดยไม่ได้ระบุว่าเป็นอาชีพอะไร
นั่นก็หมายถึงทุกอาชีพเลยนะครับ
ความรู้สึกของพนักงานที่ได้อ่าน
เค้าอาจจะคิดไปว่า เสมือนเค้าตกเป็นทาสนายจ้างก็ได้นะครับ ยกเว้นว่าข้อห้ามของนายจ้างเรื่องการทำธุรกิจส่วนตัวนอกเวลางานนั้น
นายจ้างจะมีเหตุผลอันสมควรที่ลูกจ้างยอมรับได้ ก็ไม่มีปัญหาอะไรครับ
แต่ถ้าเหตุผลคลุมเครือ ก็จะทำให้คุณภาพชีวิตเค้าไม่ดี และไม่มีความสุขที่ได้ทำงานกับบริษัทนี้ เมื่อไม่มีความสุข จะให้เค้าทำงานเต็มความสามารถ
ก็คงเป็นไปไม่ได้แล้ว และถ้ามีโอกาสเค้าไปหาที่อื่นที่ไม่มีข้อห้ามอย่างนี้จะดีกว่า ธุรกิจของนายจ้างเสียหายได้อย่างคาดไม่ถึงจากระเบียบทำนองนี้ครับ
โดยเฉพาะธุรกิจค้าขายที่ต้องให้บริการลูกค้าด้วย ก็ยิ่งอันตรายครับ แค่พนักงานเครียดไม่ยิ้มแย้มแจ่มใส ลูกค้าก็ไม่พอใจแล้วครับ
ถ้าในฐานะคุณเป็นคนกลางควรจะทำอย่างไร ผมว่าต้องรีบคุยกับหัวหน้าถึงหลักการและเหตุผลตลอดจนผลกระทบที่จะตามมาดีกว่าครับ
แล้วเรื่องนี้ก็ไม่ยากที่จะแก้ โดยเอาข้อที่ 3. เป็นแนวทางก็ได้ครับ
อย่าลืมว่าคนที่เขียนกฎออกมาก็จะต้องอยู่ภายใต้กฎนี้เหมือนกัน ถ้าลองอ่านดูแล้วโดยนึกถึงว่าตัวเองก็เป็นลูกจ้างคนหนึ่ง
และเห็นว่าตัวเองก็ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากสิ่งที่เขียนออกมานี้ ก็แสดงว่ากฎนั้นใช้ไม่ได้ครับ
อดิศร
Date: Sun, 12 Dec 2010 01:28:18 +0800
From: james.bodin0206@yahoo.co.th
Subject: [SIAMHRM.COM :31219] ห้ามพนักงานประกอบธุรกิจนอกเวลางาน ทำได้หรือไม่ครับ???
To: siamhrm@googlegroups.com
|
--
- โปรดร่วมกัน เสวนา ถาม-ตอบ วันละ 1 กระทู้ สร้างความรู้ใหม่ได้ มหาศาล -
แนะนำ :
http://www.JobSiam.com : โปรโมชั่น*! ลงประกาศตำแหน่งงาน แถมฟรี สูงสุด 2 เดือน ถึง 31 ธันวาคม 2553 นี้
http://www.SiamHRM.com : สยามเอชอาร์เอ็ม ดอทคอม รวมพลคนทำงาน มากที่สุด
http://www.facebook.com/JobSiam ติดตามตำแหน่งงาน Update. ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
คุณได้รับข้อความนี้เนื่องจากคุณเป็นสมาชิกกลุ่ม Google Groups กลุ่ม "บริหารทรัพยากรมนุษย์ ประเทศไทย"
- หากต้องการโพสต์ ถึงกลุ่มนี้ ให้ส่งอีเมลไปที่ siamhrm@googlegroups.com
- หากต้องการยกเลิกการเป็นสมาชิกกลุ่ม ส่งอีเมลไปที่ siamhrm+unsubscribe@googlegroups.com (ยืนยัน การยกเลิกใน Email อีกครั้ง.)
- หากต้องการดูกระทู้ หัวข้อ HR โปรดไปที่กลุ่มนี้โดยคลิกที่ http://groups.google.co.th/group/siamhrm?hl=th&pli=1
- เนื่องจากสมาชิกมีจำนวนมาก สมาชิกทุกท่าน ควรอ่านกติกา มารยาท และใช้เมล์กรุ๊ปร่วมกัน อย่างสร้างสรรค์
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
--
- โปรดร่วมกัน เสวนา ถาม-ตอบ วันละ 1 กระทู้ สร้างความรู้ใหม่ได้ มหาศาล -
แนะนำ :
http://www.JobSiam.com : โปรโมชั่น*! ลงประกาศตำแหน่งงาน แถมฟรี สูงสุด 2 เดือน ถึง 31 ธันวาคม 2553 นี้
http://www.SiamHRM.com : สยามเอชอาร์เอ็ม ดอทคอม รวมพลคนทำงาน มากที่สุด
http://www.facebook.com/JobSiam ติดตามตำแหน่งงาน Update. ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
คุณได้รับข้อความนี้เนื่องจากคุณเป็นสมาชิกกลุ่ม Google Groups กลุ่ม "บริหารทรัพยากรมนุษย์ ประเทศไทย"
- หากต้องการโพสต์ ถึงกลุ่มนี้ ให้ส่งอีเมลไปที่ siamhrm@googlegroups.com
- หากต้องการยกเลิกการเป็นสมาชิกกลุ่ม ส่งอีเมลไปที่ siamhrm+unsubscribe@googlegroups.com (ยืนยัน การยกเลิกใน Email อีกครั้ง.)
- หากต้องการดูกระทู้ หัวข้อ HR โปรดไปที่กลุ่มนี้โดยคลิกที่ http://groups.google.co.th/group/siamhrm?hl=th&pli=1
- เนื่องจากสมาชิกมีจำนวนมาก สมาชิกทุกท่าน ควรอ่านกติกา มารยาท และใช้เมล์กรุ๊ปร่วมกัน อย่างสร้างสรรค์
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น