ยินดีที่ได้รู้จักน่ะคร๊าบบ ผมลุงต๋องคร๊าบบบบ..
เมื่อ 12/12/09, Phanisara Karnjananimmarn <phanisara@sci-asset.com> เขียนว่า:
> ขอบคุณมากค่ะ คุณอุ๊จัง
> ที่ทำให้ดิฉันเห็นภาพว่าฝ่ายบุคคลควรทำตัวอย่างไร
> เพราะเพิ่งทำงานในฝ่ายนี้มาเกือบปีแล้ว
> ________________________________
> จาก: siamhrm@googlegroups.com [siamhrm@googlegroups.com] ในนามของ Piggy Girl
> [kannika_3924@hotmail.com]
> ส่ง: 11 ธันวาคม 2009 23:18
> ถึง: lovelyhrs@googlegroups.com; siamhrm@googlegroups.com
> เรื่อง: [SIAMHRM.COM :21643] FW: คุณสมบัติของนักบริหารงานบุคคล
>
>
>
>
> [http://gfx2.hotmail.com/mail/w4/pr01/ltr/emoticons/dog.gif] อุ๊จัง
> [http://gfx2.hotmail.com/mail/w4/pr01/ltr/emoticons/smile_wink.gif]
>
> [http://gfx2.hotmail.com/mail/w4/pr01/ltr/emoticons/heart.gif]เราผ่านเข้ามาในชีวิตของกัน
> และจะเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน
> ตลอดไป[http://gfx2.hotmail.com/mail/w4/pr01/ltr/emoticons/rose.gif]
>
> [http://gfx2.hotmail.com/mail/w4/pr01/ltr/emoticons/guy_handsacrossamerica.gif][http://gfx2.hotmail.com/mail/w4/pr01/ltr/emoticons/hug_dude.gif]
> Whatever will be..will be
> [http://gfx2.hotmail.com/mail/w4/pr01/ltr/emoticons/girl_handsacrossamerica.gif]
> [http://gfx2.hotmail.com/mail/w4/pr01/ltr/emoticons/hug_girl.gif]
>
>
>
> หัวข้อ: คุณสมบัติของนักบริหารงานบุคคล
>
> คุณสมบัติของผู้บริหารงานบุคคล
> ลองเอาไปปรับดูนะคะ ได้มาจาก เพื่อนสมาชิกเมล์มาให้
>
> 1. พูดเป็นเขียนเป็น
> งานของฝ่ายบุคคลเกี่ยวข้องกับการพูดการเขียนเป็นส่วนใหญ่
> บุคคลที่มีพรสวรรค์ทางด้านการพูดและการเขียนจะได้เปรียบ
> และช่วยส่งเสริมให้การปฏิบัติหน้าที่โดดเด่นมากขึ้นในสายตาของผู้เกี่ยวข้อง
> งานและโอกาสที่จะต้องใช้ความสามารถในการพูด มีตัวอย่างเช่น
>
> Ö การสัมภาษณ์ผู้สมัครงาน
>
> ต้องสามารถใช้คำพูดที่เป็นกันเองเพื่อให้ผู้สมัครรู้สึกผ่อนคลาย
> ไม่เครียดในเวลาสัมภาษณ์
> ฝ่ายบุคคลจำเป็นต้องมีวิธีพูดและเลือกคำถามที่จะสามารถล้วงข้อมูลจากผู้สมัครให้ได้มากที่สุด
> และให้ได้รู้จักผู้สมัคร "ตัวจริง" ว่าเป็นคนอย่างไร นอกจากนั้น
> หากพบว่าผู้สมัครเป็นบุคคลที่เหมาะสมกับความต้องการ
> ผู้สัมภาษณ์ยังจะต้องใช้ความสามารถอธิบายให้ผู้สมัครเห็นว่าบริษัทนั้นดีพอที่เขาจะร่วมงานด้วยจนกระทั่งตัดสินใจเซ็นสัญญาเข้าทำงาน
>
>
> ความประทับใจที่เกิดขึ้นจากการสนทนากับผู้สัมภาษณ์
> มีส่วนอย่างสำคัญทีเดียวต่อการตัดสินใจเข้าทำงานในบริษัทนั้น ๆ ของผู้สมัคร
>
> Ö การปฐมนิเทศพนักงานใหม่
>
> เป็นหน้าที่สำคัญส่วนหนึ่งของผู้จัดการฝ่ายบุคคลที่จะอธิบายให้พนักงานที่เข้างานใหม่ได้ทราบว่าเขาจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรเมื่อทำงานที่บริษัทนั้น
> มีอะไรที่เขาจะต้องทำและอะไรที่ทำไม่ได้ บริษัทมีสวัสดิการอะไรให้บ้าง
> และเขาจะมีโอกาสก้าวหน้าในหน้าที่การงานอย่างไร ฯลฯ
>
>
> ขั้นตอนนี้มีความสำคัญอยู่ไม่น้อยเหมือนกันต่อระยะเวลาในการทำงานของพนักงานใหม่ในบริษัทนั้น
> พูดง่าย ๆ
> ก็คือว่าการปฐมนิเทศเป็นปัจจัยตัวหนึ่งที่จะกำหนดว่าพนักงานที่เข้ามาใหม่จะอยู่กับบริษัทนานแค่ไหน
> มีบ่อยครั้งที่หลังจากฟังปฐมนิเทศแล้วันรุ่งขึ้นพนักงานใหม่บางคนก็จะหายตัวไปเลย
> หรือบางคนก็จะเริ่มสมัครงานที่ใหม่ และลาออกไปในเวลามิช้ามินาน
> หลังจากได้งานใหม่ที่เขาเชื่อมั่นมากกว่าหรือเห็นว่าดีกว่า
>
>
> ขั้นตอนนี้จึงจำเป็นต้องสร้างความประทับใจแก่พนักงานเข้าใหม่เพื่อย้ำความเชื่อมั่นที่เกิดขึ้นจากตอนสัมภาษณ์
> และต้องใช้วาทศิลป์เข้าช่วยค่อนข้างมาก
>
> Ö การสืบสวนสอบสวน
>
> ดังได้กล่าวมาแล้วว่าหน้าที่ของฝ่ายบุคคลส่วนหนึ่งจะเป็นเหมือนตำรวจคือต้องทำหน้าที่สืบสวนสอบสวนอยู่ด้วย
> ตัวอย่างเช่นกรณีที่มีของหาย
> หรือเกิดมีการขโมยของไม่ว่าจะเป็นของบริษัทหรือของพนักงาน
> ย่อมเป็นหน้าที่ของฝ่ายบุคคลในฐานะที่ต้องบำบัดทุกข์บำรุงสุขและดูแลความสงบเรียบร้อยของบริษัทที่จะต้องเข้าไปแก้ปัญหา
> ซึ่งจะต้องเริ่มต้นด้วยการสอบสวนว่าจริง ๆ แล้วมันเกิดอะไรขึ้น ที่ไหน เมื่อไร
> และอย่างไร มีพยานหลักฐานหรือไม่
> แล้วก็สืบสวนต่อไปจนหาสาเหตุหรือบุคคลที่กระทำผิดได้
>
> ในการสืบสวนสอบสวน
> นอกจากต้องใช้จิตวิทยาแล้วย่อมต้องมีวาทศิลป์ด้วย คือ
> อาจจะต้องใช้ทั้งวิธีปลอบแล้วขู่เพื่อให้พยานยอมบอกข้อเท็จจริง
> และผู้กระทำผิดยอมรับสารภาพ
>
> Ö การลงโทษพนักงาน
> ในการลงโทษพนักงาน เช่น
> ออกหนังสือตักเตือน เป็นต้น หากให้ถูกต้องแล้ว
> ผู้ออกหนังสือเตือนจำเป็นต้องชี้แจงให้พนักงานผู้รับโทษทราบว่า
> การกระทำนั้นผิดอย่างไร ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างใด
> เป็นการกระทำผิดต่อกฎหรือระเบียบข้อใด
> และการลงโทษนั้นมีความมุ่งหมายที่จะไม่ให้เขากระทำผิดอีก
> ซึ่งจะเป็นความสำเร็จและเป้าหมายอันแท้จริงของการลงโทษ
>
>
> ข้อสำคัญและเป็นสิ่งที่ฝ่ายบุคคลจะพยายามทำให้ได้ก็คือ
> การพูดหรือพิสูจน์ให้พนักงานผู้กระทำความผิดยอมรับอย่างจริงใจว่าตัวเองได้กระทำความผิดและสมควรได้รับโทษนั้น
> ในเรื่องนี้ความจริงมีอยู่ 2 ประเด็น คือ
> ประเด็นแรกการยอมรับว่าตัวเองทำผิดจริง
> กับประเด็นหลังยอมรับว่าสมควรได้รับโทษนั้น บางครั้ง
> พนักงานอาจยอมรับว่าได้ทำผิดจริง แต่ไม่เห็นด้วยกับการลงโทษนั้น
> โดยอาจเห็นว่าความผิดนั้นไม่รุนแรงถึงขนาดต้องลงโทษ
> หรือหากมีการลงโทษก็ไม่สมควรได้รับโทษที่หนักขนาดนั้น
> จึงเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนักที่จะให้เกิดผลสมบูรณ์ตามความมุ่งหมาย
>
>
> อย่างไรก็ดีการยอมรับของพนักงานที่ได้รับโทษนี้มีความสำคัญและเป็นประโยชน์ต่อการทำงานของฝ่ายบุคคลเป็นอย่างยิ่ง
> เพราะเหตุว่าเมื่อพนักงานรับโทษโดยดี ปัญหาก็จะไม่มีแต่ในทางตรงกันข้าม
> หากพนักงานไม่ยอมรับก็อาจนำไปสู่การร้องเรียน
> ไม่ว่าจะเป็นการร้องเรียนต่อฝ่ายบริหารระดับสูง
> หรือร้องเรียนต่อหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง และที่สำคัญก็คือ
> ก่อให้เกิดความไม่พอใจที่อาจกลายเป็นความแค้นเคืองที่มีต่อฝ่ายบุคคล
> หรือต่อผู้บังคับบัญชาโดยตรง ซึ่งอาจแสดงออกในรูปแบบต่าง ๆ
> ที่สามารถสร้างความกังวลหรือความไม่สบายใจแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
> ล้วนแต่เป็นสิ่งไม่พึงปรารถนาทั้งสิ้น
> ในกรณีที่ร้ายแรงความแค้นนั้นอาจแสดงออกด้วยการข่มขู่หรือลงมือทำร้ายผู้ที่เขาคิดว่าเป็นต้นเหตุให้เขาได้รับโทษนั้น
> ในเรื่องนี้ความสามารถในการใช้คำพูดในการเจรจาหรืออธิบายมีส่วนช่วยได้มากทีเดียว
>
> Ö กรณีเกิดข้อพิพาทแรงงาน
> เวลาที่เกิดปัญหาแรงงาน เช่น
> การนัดหยุดงานหรือมีการยื่นข้อเรียกร้องเกี่ยวกับสภาพการจ้าง
> เป็นตอนสำคัญที่ผู้บริหารฝ่ายบุคคลจะต้องใช้ความสามารถในการพูดให้เป็นประโยชน์อย่างเต็มที่
> กรณีการนัดหยุดงาน
> ผู้บริหารอาจจะต้องปราศรัยต่อหน้าพนักงานจำนวนมากเพื่ออธิบายชี้แจงข้อข้องใจ
> หรือขอร้องชักชวนให้เข้าทำงานตามปกติ
> สำหรับกรณีที่มีการยื่นข้อเรียกร้องมักจะหนักไปในทางเจรจาต่อรอง
> และทำความเข้าใจด้วยเหตุด้วยผล
> แต่ก็คงมีบางกรณีเหมือนกันที่ไม่มีโอกาสได้ใช้ความสามารถในการพูดเลย
> ถ้าสาเหตุของการนัดหยุดงาน
> หรือข้อเรียกร้องหลักคือการขอให้ปลดผู้จัดการฝ่ายบุคคล!
>
> Ö
> การปราศรัยในกิจกรรมเกี่ยวกับพนักงานและงานสังคม
> ดังได้กล่าวมาแล้วว่า
> ฝ่ายบุคคลมีลักษณะเป็นหน่วยงานกลาง
> เมื่อมีเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับแผนกใดแผนกหนึ่งเป็นการเฉพาะ
> ก็จะมาลงที่ฝ่ายบุคคลเสมอในลักษณะที่เป็นตัวแทนของบริษัท
> นอกจากนี้ฝ่ายบุคคลเองก็ต้องเกี่ยวข้องและมีหน้าที่ต้องจัดกิจกรรมต่าง ๆ
> เกี่ยวกับพนักงานทั้งในแง่เป็นสวัสดิการและเป็นการสร้างความจงรักภักดี งานต่าง
> ๆ
> เหล่านี้ผู้จัดการฝ่ายบุคคลมักจะต้องเป็นประธานและมีโอกาสต้องกล่าวปราศรัยหรือให้โอวาทด้วย
> หากสามารถพูดได้ดีแบบประทับใจผู้ฟังศรัทธาจากพนักงานก็ย่อมจะเพิ่มพูน
> ส่วนงานสังคม
> ตัวอย่างที่เห็นได้ง่ายและมีบ่อยที่สุดก็คืองานแต่งงานของพนักงาน
> ซึ่งผู้จัดการฝ่ายบุคคลมักจะไม่พ้นต้องขึ้นไปกล่าวปราศรัยในฐานะผู้ใหญ่ของเจ้าบ่าวหรือเจ้าสาว
> บางกรณีก็เป็นผู้ใหญ่ของทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาวพร้อมกันไปเลย
> สำหรับเรื่องการเขียนนั้น โอกาสสำคัญ ๆ ที่ต้องแสดงฝีมือก็คือ
>
> การออกประกาศหรือคำสั่ง
>
> ในงานของฝ่ายบุคคลมีเรื่องที่จะต้องออกประกาศให้พนักงานทราบอยู่มากและเกือบตลอดทั้งปี
> เช่น ประกาศแต่งตั้งบุคลากรในตำแหน่งต่าง ๆ
> ประกาศเลื่อนตำแหน่งประกาศชมเชยพนักงานที่ทำความดี คำสั่งเกี่ยวกับแผนกต่าง ๆ
>
> การสื่อข้อความของคนหมู่มากที่มีระดับการศึกษาแตกต่างกันนั้นที่สำคัญจะต้องให้อ่านเข้าใจง่าย
> ไม่ใช้ศัพท์วิชาการหรือคำหรูหราที่ต้องแปลไทยเป็นไทย ให้ความหมายที่ชัดเจน
> ไม่กำกวมแบบที่ต้องมาตีความว่าหมายความว่าอย่างไรกันแน่
> ประโยคที่ใช้ควรเป็นแบบประโยคสั้น ๆ ที่จบความในประโยคนั้นเอง
> โดยพยายามเลี่ยงประโยคยาวหรือประเภทมีหลายประโยคซ้อนกันอยู่
> เพราะบางครั้งคนเขียนเขียนไปเขียนมาก็หลงทางเอง แบบขึ้นแล้วหาสนามบินลงไม่ได้
> เลยเป็นประโยคที่ไม่สมบูรณ์ เมื่อพนักงานได้อ่านประกาศอย่างนั้นนอกจากจะงงแล้ว
> ก็จะเสื่อมศรัทธาต่อตัวผู้บริหารเจ้าของประโยคขาดวิ่นนั้นอย่างช่วยไม่ได้
> "ผู้จัดการอะไรเขียนหนังสือยังอ่านไม่ค่อยรู้เรื่องเลย"
>
> Ö การเขียนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน
> หากเป็นกิจการที่เปิดใหม่
> ผู้จัดการฝ่ายบุคคลจะต้องมีหน้าที่สำคัญอย่างหนึ่ง
> คือการร่างข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน เพื่อให้ผู้บริหารระดับสูงอนุมัติ
> และเพื่อนำไปประกาศใช้ต่อไปในเรื่องนี้นอกจากจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับกฎหมายแรงงานและเรียนรู้การร่างข้อบังคับมาบ้างแล้ว
> ยังต้องมีฝีมือพอสมควรในการเขียนเรื่องที่มีลักษณะกระเดียดไปทางกฎหมาย
> แม้ว่าในทางปฏิบัติอาจใช้วิธีลอกเลียนหรือดัดแปลงจากข้อบังคับของบริษัทอื่นได้ก็ตาม
> ในเรื่องข้อบังคับนี้
> หากผู้จัดการฝ่ายบุคคลสามารถร่างขึ้นมาและได้รับการอนุมัติจากผู้บริหารระดับสูงโดยไม่มีการติติงอะไรมาก
> หรือถ้ามีก็สามารถตอบคำถามหรือให้เหตุผลที่น่าฟังทุกข้อ
> ก็นับว่าสอบผ่านและสามารถสร้างคะแนนนิยมและความเชื่อมั่นแก่ตนเองได้ไม่น้อยเลย
>
> Ö การเขียนบันทึกภายใน (memo)
> ในการทำงานของฝ่ายบุคคล
> มีเรื่องที่ต้องติดต่อกับหัวหน้าหรือผู้จัดการฝ่ายต่าง ๆ
> อยู่ตลอดเวลาในลักษณะประสานงาน
> อีกทั้งต้องทำเรื่องเพื่อขอความเห็นหรือขออนุมัติผู้บริหารระดับสูงในเรื่องต่าง
> ๆ ด้วย
> ความสามารถในเชิงศิลปะการเขียนจะช่วยให้ประหยัดเวลาเพราะเหตุที่เขียนได้เร็วได้คล่อง
> จึงเท่ากับทำงานได้เร็วด้วย
> ความสละสลวยของถ้อยคำหรือข้อความย่อมจะนำมาซึ่งความชื่นชมจากผู้ที่ตนติดต่อเกี่ยวข้องด้วย
> และอันที่จริงในหลายบริษัทผู้จัดการฝ่ายบุคคลมักจะได้รับการไหว้วานขอร้องให้ช่วยเขียนบันทึกต่าง
> ๆ จากหัวหน้าหรือผู้จัดการฝ่ายต่าง ๆ จากหัวหน้าหรือผู้จัดการฝ่ายต่าง ๆ
> ที่ไม่สันทัดหรือไม่ชอบการเขียนหนังสืออยู่เป็นเนืองนิตย์
> จนอาจจะถือได้ว่าเป็นหน้าที่เสริมอย่างหนึ่ง
>
> Ö การเขียนจดหมายติดต่อ
>
> นอกจากจดหมายที่เขียนติดต่อกับผู้สมัครงานแล้ว ฝ่ายบุคคลยังมีงานธุรการต่าง ๆ
> ที่ต้องติดต่อกับหน่วยงานภายนอกอยู่ไม่น้อย เช่น
> สถาบันการศึกษาในเรื่องที่เกี่ยวกับการฝึกงานของนักศึกษา บริษัทประกันภัย
> การออกหนังสือรับรองแก่พนักงาน เป็นต้น
>
>
> 2. มีความยุติธรรมและใจเป็นธรรม
> การที่ต้องปกครองดูแลพนักงานจำนวนมาก
> การยึดมั่นในหลักของความยุติธรรมอยู่เสมอเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง
> ความยุติธรรมในที่นี้หมายถึงการปฏิบัติอย่างเดียวกันกับพนักงานทุกคนในกรณีเดียวกัน
> เช่น หากพนักงานคนหนึ่งได้รับหนังสือเตือนหลังจากมาสาย 3 ครั้ง
> พนักงานคนอื่นที่มาสาย 3 ครั้งเหมือนกันก็จะได้รับโทษอย่างเดียวกันด้วย
> โดยไม่มีการยกเว้นแม้กับคนใกล้ชิดหรือมีความสนิทสนมเป็นพิเศษ
> ความยุติธรรมนี้หากปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ
> ก็จะสร้างความเชื่อมั่นและศรัทธาในหมู่พนักงาน
> อีกทั้งเป็นเครื่องป้องกันปัญหาที่ไม่พึงปรารถนาได้ส่านหนึ่ง เช่น
> การร้องเรียนหรือกล่าวหาในเรื่องความไม่ยุติธรรมของผู้จัดการฝ่ายบุคคล
> ในทางตรงกันข้าม
> การปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียมกันหรือไม่เสมอเหมือนกันก่อให้เกิดความปั่นป่วนในที่ทำงาน
> และเป็นต้นเหตุของการวิพากษ์วิจารณ์ที่ไม่เป็นมงคลโดยไม่จำเป็น
>
> นอกจากความยุติธรรมต่อพนักงานแต่ละคนแล้ว
> ผู้จัดการฝ่ายบุคคลยังต้องสร้างความยุติธรรมระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างด้วย
> กล่าวคือให้เจ้าของกิจการปฏิบัติต่อพนักงานอย่างเป็นธรรมในเชิงการจ่ายค่าจ้างและสวัสดิการต่าง
> ๆ เมื่อกิจการมีกำไรและอยู่ในฐานะที่จะทำได้
> ขณะเดียวกันก็ต้องดูแลให้พนักงานปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์และอย่างเต็มสติกำลังให้คุ้มกับค่าแรงที่ได้รับด้วย
>
>
> การปฏิบัติตัวให้พอเหมาะและให้เป็นที่พอใจของทั้ง 2 ฝ่ายไม่ใช่เรื่องง่าย
> แต่การเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างสุดกู่นั้นมักจะเกิดโทษแก่ตนเองเสมอ
> จากที่ผู้เขียนสังเกตและติดตามดูมานับสิบปี
> พบว่าผู้จัดการฝ่ายบุคคลที่เข้าข้างพนักงานโดยหวังการสนับสนุนจากพนักงานเป็นเกราะกำบังตัวนั้นไม่เคยทำได้เสร็จอย่างแท้จริง
> เพราะเจ้าของกิจการย่อมไม่ประสงค์จะจ้างผู้จัดการที่เอาใจออกห่างอย่างนั้น
> และพยายามหาทางกำจัดออกไปจนได้แม้จะต้องเสียเงินเสียทองสักเท่าใดก็ตาม
> ในขณะเดียวกันผู้จัดการฝ่ายบุคคลที่ทำตัวเป็น "ทาสนายทุน"
> คือหลับหูหลับตาเอาใจเจ้านายอย่างเดียวโดยไม่สนใจทุกข์สุขของพนักงาน
> ก็ได้พิสูจน์แล้วหลายครั้งว่าไม่เป็นที่ปรารถนาของนายจ้างเช่นกัน
> เพราะการปฏิบัติตัวเช่นนั้นสร้างความไม่พอใจให้เกิดขึ้นในหมู่พนักงานและนำไปสู่ปัญหาแรงงานซึ่งไม่มีนายจ้างที่ไหนต้องการ
> เมื่อใดที่มีการเรียกร้องให้ปลดผู้จัดการฝ่ายบุคคล
> เพื่อเห็นแก่ความสงบสุขและความราบรื่นของกิจการ
> เจ้าของกิจการมักจะใช้วิธีขอร้องผู้จัดการฝ่ายบุคคลให้ "ลาออก" ไป
> แม้จะพูดด้วยคำหวานว่า "เสียดาย" หรือ "เสียใจ" ก็ตามในทางธุรกิจ
> ผลประโยชน์ย่อมสำคัญกว่าเพื่อน!
>
> 3. มีหัวใจที่กล้าแกร่ง
>
> ผู้จัดการฝ่ายบุคคลที่ไม่เคยถูกพนักงานข่มขู่ในประการใดประการหนึ่งคงจะมีน้อยมากและถ้ามีจริงคนนั้นก็เหมือนไม่ได้สัมผัสงานฝ่ายบุคคลอย่างแท้จริงหรืออย่างครบเครื่อง
>
> การปฏิบัติหน้าที่ของฝ่ายบุคคลจะมีบางโอกาสหรือหลายโอกาสที่สร้างความไม่พอใจแก่พนักงานคนใดคนหนึ่งหรือบางกลุ่มบางแผนก
> ที่ร้ายแรงที่สุดได้แก่กรณีปลดคนออกจากงาน
> ผู้ที่ถูกปลดออกมักจะไม่ยอมรับว่าตนผิด
> หรือหากยอมรับว่าผิดก็เห็นว่าไม่ควรได้รับโทษถึงถูกปลดออก และเกิดความเจ็บแค้น
> บางคนนิยมระบายความเจ็บแค้นด้วยการข่มขู่ให้กลัวเพื่อความสะใจของตนเอง
> แต่บางครั้งก็ข่มขู่ด้วยเหตุต้องการทำร้ายจริง ๆ
>
> มนุษย์ทุกคนย่อมมีความกลัว
> จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เกิดความกลัวเมื่อถูกข่มขู่
> แต่จำเป็นต้องใช้สติปัญญาไตร่ตรองดูความจริงจังของคำขู่
> หาทางแก้ไขเท่าที่จะทำได้ เพราะต้องลาออกจากงานปีละหลายครั้ง
> และชีวิตคงหาความสุขสงบอย่างแท้จริงไม่ได้
> คำขู่เป็นของคู่กับผู้จัดการฝ่ายบุคคล จึงต้องมีหัวใจที่แกร่งพอ
>
> 4. ต้องอ่านกฎหมายเข้าใจ
>
> ในปัจจุบันนี้มีกฎหมายแรงงานออกมาบังคับใช้นับสิบฉบับซึ่งล้วนเกี่ยวข้องกับการบริหารงานบุคคล
> จึงเป็นการจำเป็นที่ผู้บริหารงานบุคคลจะต้องทราบและเข้าใจข้อกำหนดของกฎหมายเพื่อปฏิบัติให้ถูกต้อง
>
>
> การศึกษาและทำความเข้าใจกับกฎหมายแรงงานไม่ใช่เรื่องยากและไม่จำเป็นต้องเป็นนักกฎหมายหรือเรียนจบมาทางด้านกฎหมาย
> เพราะกฎหมายแรงงานเขียนเป็นภาษาไทย
> ทุกคนที่รู้ภาษาไทยย่อมจะอ่านกฎหมายแรงงานได้ อย่างไรก็ดี
> กฎหมายแรงงานก็เหมือนกฎหมายอื่น ๆ ที่เขียนด้วยภาษากฎหมาย
> ซึ่งอ่านยากกว่าภาษาทั่วไป ไม่สามารถจะอ่านแบบลวก ๆ ได้
> จำเป็นต้องอ่านอย่างละเอียดลออชนิดที่เรียกว่า "แกะ" ทีละคำ
> จึงจะเข้าใจความหมายที่ถูกต้องและสมบูรณ์ตามเจตนารมณ์ของกฎหมายได้
>
>
> คนที่เป็นนักกฎหมายอาจจะมีความเห็นว่าผู้ที่ทำหน้าที่ผู้จัดการฝ่ายบุคคลจำเป็นต้องเรียนจบมาทางกฎหมาย
> เพราะงานที่ทำเกี่ยวข้องกับกฎหมายหลายฉบับ
> แต่ผู้เขียนไม่เห็นด้วยกับแนวความคิดนี้
> โดยเห็นว่ากฎหมายไม่ใช่ศาสตร์ลี้ลับที่บุคคลทั่วไปจะสัมผัสไม่ได้
> ใครที่สนใจจะสามารถศึกษาทำความเข้าใจได้ไม่ยาก ยิ่งกว่านั้น
> ยังเห็นว่าการให้นักกฎหมายมาทำหน้าที่ผู้จัดการฝ่ายบุคคลมีผลเสียมากกว่าผลดี
> เพราะนักกฎหมายส่วนใหญ่มักจะมุ่งเน้นความถูกต้องตามตัวบทกฎหมาย
> ในขณะที่ในความเป็นจริง สิ่งที่สำคัญที่สุดซึ่งถือเป็นหัวใจของงานในฝ่ายบุคคล
> คือการให้นายจ้างและลูกจ้างสามารถทำงานอยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข
> โดยมีความพอใจพอสมควร
> หากต่างฝ่ายต่างพอใจกันแล้วก็แทบจะไม่ต้องเปิดดูกฎหมายด้วยซ้ำ
> หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง
> ผู้เขียนเห็นว่าการทำงานของฝ่ายบุคคลหนักไปในทางใช้หลักรัฐศาสตร์มากกว่านิติศาสตร์
> และที่สำคัญความสัมพันธ์ของนายจ้างกับลูกจ้างควรยึดถือความเป็นธรรมต่อกันซึ่งเป็นสิ่งที่
> "รู้สึก""ได้ ไม่ใช่การเอาชนะคะคานกันด้วยเรื่องของตัวบทกฎหมาย
>
> 5. รู้จักจิตวิทยา
> ในการทำงานกับคน
> ความรู้และการใช้จิตวิทยาเป็นสิ่งที่จำเป็นและมีปนระโยชน์มาก
> ในการที่จะทำให้เรื่องต่าง ๆ เป็นไปโดยราบรื่น ไม่ติดขัด เช่น
> ในการสัมภาษณ์ผู้สมัครงาน การแก้ปัญหาข้อขัดแย้งระหว่างพนักงาน
> หรือลูกน้องกับหัวหน้า เป็นต้น
>
>
> การขาดความรู้ด้านจิตวิทยาสามารถก่อปัญหาได้มากในเรื่องที่เกี่ยวกับพนักงาน
> มีเรื่องเล่าว่าผู้จัดการฝ่ายบุคคลรุ่นใหญ่ที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งเคยทำผิดพลาดในเรื่องเกี่ยวกับจิตวิทยาอย่างไม่น่าให้อภัยโดยคราวหนึ่งเมื่อได้รับข้อเรียกร้องจากพนักงานแล้วได้เผลอตัววิจารณ์ว่า
> "โง่เหมือนควาย"
> เมื่อเห็นว่าข้อเรียกร้องจากพนักงานบางข้อนั้นไม่จำเป็นต้องขอมา
> แต่บังเอิญคำวิจารณ์นี้เกิดมีการนำไปเล่าให้พนักงานฟัง
> ทำให้พนักงานส่วนใหญ่โกรธแค้นมาก
> และนัดหยุดงานกันในเวลาไม่นานหลังจากที่ทราบข่าว
> พร้อมกับเพิ่มข้อเรียกร้องให้ปลดผู้จัดการฝ่ายบุคคลด้วย
>
> และผู้จัดการฝ่ายบุคคลท่านนั้นก็ได้ถูก
> "ขอร้อง" ให้ลาออกจากโรงงานใหญ่แห่งหนึ่งในเวลาต่อมา
>
> ที่มา : บทความนี้มาจาก แผนงานบุคคล,ฝ่ายบุคคล,โครงสร้างเงินเดือน,kpi
> http://www.hrmthai.com<http://www.hrmthai.com/>
>
>
> ________________________________
> Keep your friends updated— even when you're not signed
> in.<http://www.microsoft.com/middleeast/windows/windowslive/see-it-in-action/social-network-basics.aspx?ocid=PID23461::T:WLMTAGL:ON:WL:en-xm:SI_SB_5:092010>
>
> --
> - ร่วมกัน เสวนา ถาม-ตอบ วันละ 1 กระทู้ สร้างความรู้ใหม่ได้ มหาศาล -
>
> แนะนำ :
>
> http://www.JobSiam.com : โปรโมชั่น*! ประกาศรับสมัครงาน สำหรับนักสรรรหา
> มืออาชีพ พร้อมรับส่วนลด มากมาย ถึง 31 ธันวาคม 2552 นี้ เท่านั้น
> http://www.SiamHRM.com : สยามเอชอาร์เอ็ม ดอทคอม รวมพลคนทำงาน มากที่สุด
> ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
>
> คุณได้รับข้อความนี้เนื่องจากคุณเป็นสมาชิกกลุ่ม Google Groups กลุ่ม
> "บริหารทรัพยากรมนุษย์ ประเทศไทย"
> - หากต้องการโพสต์ ถึงกลุ่มนี้ ให้ส่งอีเมลไปที่ siamhrm@googlegroups.com
> - หากต้องการยกเลิกการเป็นสมาชิกกลุ่ม ส่งอีเมลไปที่
> siamhrm+unsubscribe@googlegroups.com (ยืนยัน การยกเลิกใน Email อีกครั้ง.)
> - หากต้องการดูกระทู้ หัวข้อ HR โปรดไปที่กลุ่มนี้โดยคลิกที่
> http://groups.google.co.th/group/siamhrm?hl=th&pli=1
> - เนื่องจากสมาชิกมีจำนวนมาก สมาชิกทุกท่าน ควรอ่านกติกา มารยาท
> และใช้เมล์กรุ๊ปร่วมกัน อย่างสร้างสรรค์
> ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
>
> --
> - ร่วมกัน เสวนา ถาม-ตอบ วันละ 1 กระทู้ สร้างความรู้ใหม่ได้ มหาศาล -
>
> แนะนำ :
>
> http://www.JobSiam.com : โปรโมชั่น*! ประกาศรับสมัครงาน สำหรับนักสรรรหา
> มืออาชีพ พร้อมรับส่วนลด มากมาย ถึง 31 ธันวาคม 2552 นี้ เท่านั้น
> http://www.SiamHRM.com : สยามเอชอาร์เอ็ม ดอทคอม รวมพลคนทำงาน มากที่สุด
> ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
>
> คุณได้รับข้อความนี้เนื่องจากคุณเป็นสมาชิกกลุ่ม Google Groups กลุ่ม
> "บริหารทรัพยากรมนุษย์ ประเทศไทย"
> - หากต้องการโพสต์ ถึงกลุ่มนี้ ให้ส่งอีเมลไปที่ siamhrm@googlegroups.com
> - หากต้องการยกเลิกการเป็นสมาชิกกลุ่ม ส่งอีเมลไปที่
> siamhrm+unsubscribe@googlegroups.com (ยืนยัน การยกเลิกใน Email อีกครั้ง.)
> - หากต้องการดูกระทู้ หัวข้อ HR โปรดไปที่กลุ่มนี้โดยคลิกที่
> http://groups.google.co.th/group/siamhrm?hl=th&pli=1
> - เนื่องจากสมาชิกมีจำนวนมาก สมาชิกทุกท่าน ควรอ่านกติกา มารยาท
> และใช้เมล์กรุ๊ปร่วมกัน อย่างสร้างสรรค์
> ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
--
UNCleTong
--
- ร่วมกัน เสวนา ถาม-ตอบ วันละ 1 กระทู้ สร้างความรู้ใหม่ได้ มหาศาล -
แนะนำ :
http://www.JobSiam.com : โปรโมชั่น*! ประกาศรับสมัครงาน สำหรับนักสรรรหา มืออาชีพ พร้อมรับส่วนลด มากมาย ถึง 31 ธันวาคม 2552 นี้ เท่านั้น
http://www.SiamHRM.com : สยามเอชอาร์เอ็ม ดอทคอม รวมพลคนทำงาน มากที่สุด
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
คุณได้รับข้อความนี้เนื่องจากคุณเป็นสมาชิกกลุ่ม Google Groups กลุ่ม "บริหารทรัพยากรมนุษย์ ประเทศไทย"
- หากต้องการโพสต์ ถึงกลุ่มนี้ ให้ส่งอีเมลไปที่ siamhrm@googlegroups.com
- หากต้องการยกเลิกการเป็นสมาชิกกลุ่ม ส่งอีเมลไปที่ siamhrm+unsubscribe@googlegroups.com (ยืนยัน การยกเลิกใน Email อีกครั้ง.)
- หากต้องการดูกระทู้ หัวข้อ HR โปรดไปที่กลุ่มนี้โดยคลิกที่ http://groups.google.co.th/group/siamhrm?hl=th&pli=1
- เนื่องจากสมาชิกมีจำนวนมาก สมาชิกทุกท่าน ควรอ่านกติกา มารยาท และใช้เมล์กรุ๊ปร่วมกัน อย่างสร้างสรรค์
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น