ฉบับที่ ๑๖๗ สงสารตัวเอง
การจมอยู่กับความรู้สึกสงสารตัวเอง
ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย
ก็ชีวิตจะดีขึ้นได้อย่างไร
เมื่อโลกภายในอึงอลด้วยเสียงโอดครวญ
ดวงวิญญาณแห้งเหี่ยว ลีบเล็ก โรยแรง
มีจิตเป็นอกุศล เข้ากันได้กับที่มืด
โหยหาแสงสว่าง
แต่ขณะเดียวกันก็ทำตัวเป็นตรงข้าม
คือหันหลังให้แสงสว่าง
หรือกระทั่งปฏิเสธแสงสว่างกันเลยทีเดียว
ซึ่งถ้าไปถึงจุดนั้น
แม้ตายก็ไม่มีแสงที่ปลายอุโมงค์รอช่วย
ตรงข้าม กลับจะยิ่งดำดิ่งลึกลง
สู่ก้นบึ้งของความเศร้าโศก
พบกับความเงียบเหงายืดเยื้อเหมือนไร้จุดจบ!
ขอให้สังเกตว่า
ตอนโอดครวญให้ใครฟัง
แม้แรกๆเขาจะทำท่าใส่ใจ
จะด้วยรักใคร่หรือเกรงใจกันก็ตาม
แต่ยิ่งนาน เขาจะยิ่งทำหน้าเมื่อย
ใส่ใจรับรู้น้อยลง
หรือกระทั่งแสดงความเป็นทุกข์ออกมา
ทำท่าว่าเมื่อไหร่จะพ้นห้วงเวลาพรรค์นี้เสียที
นั่นเป็นหลักฐานชัดว่า
คุณระบายทุกข์ของตัวเองออกไป
แล้วให้คนอื่นเดือดร้อน
เกือบๆจะเข้าขั้นมีความสุข
บนความทุกข์ของคนอื่นกันเลยทีเดียว!
เห็นให้ได้ด้วยว่า ยิ่งโอดจะยิ่งคิดผิด
เช่น หลงนึกว่า เมื่อใครสักคนรับรู้
เดี๋ยวโลกคงสงสาร
เดี๋ยวคงมีการบอกต่อ
เดี๋ยวคงมีอะไรในชีวิตดีขึ้น
ทั้งที่ข้อเท็จจริงคือ
คนเราไม่เคยชอบฟังใครโอด
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โอดไปอย่างนั้นเอง
โอดแบบมองไม่เห็นอนาคต
คนฟังย่อมรำคาญ
และความรำคาญนั้นไปบ่นต่อ
หรือเอาไปว่าว่า หมอนี่ ยายนั่น น่าเบื่อ
น่าออกห่าง ฟังแกคร่ำครวญทีไรจิตตกทุกที
ประมาณนั้น
สรุปคือจะไม่มีใครเกิดกำลังใจ
ช่วยกันคิดหาทางทำให้ชีวิตคุณดีขึ้น
ตรงข้าม คนดีๆ สิ่งดีๆ
จะยิ่งตีตัวออกห่าง
แล้วคุณก็จะมโนไปเองว่า
ชีวิตไม่เหลือใคร ไม่มีใครเหลียวแล
ทั้งที่แท้ คุณไม่แยแสใครก่อนว่า
เขาจะต้องเป็นทุกข์เพราะคุณขนาดไหน
เขาจะต้องรับผิดชอบทุกข์ในชีวิตตัวเอง
หนักเท่าคุณ หรือหนักกว่าคุณหรือเปล่า
เพื่อจะถอนนิสัยช่างโอด
ไม่ใช่ฝืนใจห้าม
เพราะช่วงน่าโอดของชีวิต
จิตใจมันฝืด มันฝืน เหมือนกำลังปีนเขาสูงอยู่แล้ว
คุณจำเป็นต้องทำอะไรบางอย่าง
ที่รู้สึกง่าย ไม่ต้องฝืน
ไม่ต้องออกแรงเพิ่มไปกว่านั้น
เริ่มจากสังเกตว่า ถ้าเคยชินมานาน
จะให้ห้ามปาก ห้ามความคิดไม่ได้
อย่างไรก็ต้องโอดกาเหว่า
และอาการอยากโอดครวญ
จะคล้ายอารมณ์คนติดยา
ต่างกันแค่ติดยาจะอยากเสพอารมณ์สุข
ส่วนติดโอดจะอยากเสพอารมณ์เศร้า
จากนั้น ต้องมองให้เห็นจริงเห็นจังว่า
จะแอบโอดเงียบๆในใจ
หรือพร่ำโอดดังๆออกปาก
จิตคุณจะหม่นมืด
โอดน้อยมืดน้อย โอดมากมืดมาก
ไม่โอดเลยก็ไม่มืดเลย ใจว่างๆอยู่
ท่องอีกที
โอดน้อยมืดน้อย
โอดมากมืดมาก
ไม่โอดเลยก็ไม่มืดเลย!
คุณจะประหลาดใจว่า
แค่เทียบเคียงเรื่อยๆอยู่อย่างนี้
แต่ละทีจะมีความสว่างวาบขึ้นมาอ่อนๆ
ค่อยๆขับไล่ความมืดมากหรือมืดน้อยทางจิต
ที่เกิดแล้วนั่นแหละ
อาการอยากเสพอารมณ์เศร้าจะค่อยๆลดลง
อารมณ์อยากหันไปหาอะไรที่เป็นสุข เป็นกุศล
จะค่อยๆเพิ่มขึ้น อยากเล่าเรื่องดีๆ
อยากให้ไอเดียกับคนอื่น
อยากจัดโน่นแต่งนี่ให้ปลอดโปร่ง
คุณจะต้อง 'หยอดกระปุก' ไปเรื่อยๆ สักกี่ปีก็ช่าง
ขอให้มีกำลังใจเชื่อมั่นเถอะว่า
กระปุกสว่างเต็มเมื่อไร
อาการ 'ติดยาโอด' หายขาดเมื่อนั้น!
ดังตฤณ
ตุลาคม ๕๘
ทุกชีวิตเมื่อเกิดมาแล้วย่อมมีความทุกข์ติดตามมาด้วย
จึงควรเห็นภัยในวัฏสงสารและมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์
ดังความตามพระธรรมเทศนา โดยหลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เรื่อง "กายวิเวก ใจวิเวก" ในคอลัมน์"สารส่องใจ"ค่ะ (-/\-)
บุคคลแต่ละคนนั้นมาเกี่ยวข้องผูกพันกันด้วยเหตุใด
และหากยังมีชาติต่อๆ ไป จะมีโอกาสได้พบกันอีกหรือไม่
พบคำตอบได้ในคอลัมน์"ดังตฤณวิสัชนา"
ตอน"คนที่เกิดมาเป็นญาติเป็นมิตรกันเพราะเคยทำกรรมร่วมกันมาใช่ไหม"
"ระบำเวท"นวนิยายจากปลายปากกาของคุณชลนิล
ฉบับนี้เรื่องราวดำเนินมาจนถึงตอนที่ ๑๙ แล้วค่ะ
เนื้อเรื่องเข้มข้นเร้าใจขึ้นทุกขณะ
ติดตามได้ในคอลัมน์"วรรณกรรมนำใจ"นะคะ (^__^)
---
คุณได้รับข้อความนี้เนื่องจากคุณสมัครรับข่าวสารจากกลุ่ม "ธรรมะใกล้ตัว" ของ Google Groups
หากต้องการยกเลิกการสมัครรับข่าวสารและหยุดรับอีเมลจากกลุ่มนี้ โปรดส่งอีเมลไปที่ dharma-at-hand+unsubscribe@googlegroups.com
หากต้องการดูตัวเลือกเพิ่มเติม โปรดไปที่ https://groups.google.com/d/optout
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น