ถ้าทำแบบนี้ได้ ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาก็ไม่เกิดแล้วครับ หลายเรื่องมันเกิดขึ้น เพราะกรณีอย่างที่ คุณ Prakal เขียนไว้ใน [SIAMHRM.COM :25014] คำพูดที่ไม่จำเป็น ฝ่ายนึงเริ่มดูถูกอีกฝ่ายก่อน พอเกิดความขัดแย้ง ทางเีดียวที่เรื่องจะจบคือ ฝ่ายที่ถูกดูถูกอโหสิให้ ส่วนเรื่องการเจรจา ผมบอกตรงๆ ไม่คิดว่าเขาจะยอมยุบสภาครับ ทุกอย่างมันก็แค่ Power Struggle เขายังเอาคนของเขาขึ้นเป็น ผบ ตร, ผบ ทร ไม่ได้ อย่างน้อยเขาก็ต้องรอจัด (กิน) งบประมาณครั้งสุดท้ายก่อน
ส่วนเรื่องการเจรจา ก็เหมือนกับในไฟล์ Presentation ที่คุณอดิศรส่งมา มี Win-Win, Win-Lose, Lose-Lose จบง่ายสุดก็ Win-Win แต่ผมขอบอกว่า ไม่ใช่สันดานคนไทยครับ คนไทย ชอบ Win-Lose ได้ดีด้วยกันทั้งคู่ไม่ได้ ต้องมีใครซักคนโดนกดหัว ถ้าเป็น Win-Lose ไม่ได้ ก็ Lose-Lose ไปเลย สันดานนี้ เป็นเหมือนกันหมด ทั้ง เสื้อเหลือง เสื้อแดง หรือ เสื้อสีธงชาติ
แล้วก็หลักการเจรจาเนี่ย คือ ต้องเจรจาแล้วชนะ เท่านั้นครับ เจรจาแล้วแพ้จะไปเจรจาทำไม จะชนะแบบไหนเท่านั้นเอง Win-Win หรือ Win-Lose อย่างตามหลักการเจรจา ถ้าปฎิเสธข้อเรียกร้องฝ่ายตรงข้ามหมด แล้วผลิกโต๊ะ มาเป็นผู้ยื่นข้อเรียกร้องซะเอง แบบนี้ Win-Win ไม่เกิดครับ แสดงว่าต้องการแบบ Win-Lose ไม่ก็ Lose-Lose คือ ปฎิเสธข้อเรียกร้องฝ่ายตรงข้ามไปหมดแล้ว เท่ากับฝ่ายตรงข้ามอยู่ในสถานะ Lose ถ้าเขาปฎิเสธข้อเรียกร้องบ้าง ก็จะ Lose คู่ ซึ่งตามหลักการเจรจา หากใครได้ดูก็รู้แล้วครับ ว่ามันวิ่งมาทาง Lose-Lose แล้ว
แล้วก็เรื่องสี จริงๆ แล้ว มันก็คือ ความคิดทางการเมืองไม่เหมือนกัน ปัญหาคือ คนไทยชี้หน้าคนที่คิดไม่เหมือนตัวเองว่าเป็นคนเลว คนชั่ว ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว แนวคิดแบบ เสื้อแดง หรือ เสื้อเหลือง มีในแทบทุกประเทศ
ว่ากันง่ายๆ คือ
- เสื้อเหลือส่วนใหญ่เป็น Right Brain Thinker, Idealist, Conservatism, Anti-Capitalism
- เสื้อแดงส่วนใหญ่เป็น Left Brain Thinker, Realist, Liberalism, Capitalism
ไอ้ที่ว่าแตกแยกทางความคิดนะครับ ทำให้ตายก็ไม่มีวันสมานฉันฑ์ได้ ไม่มีทางทำให้คนคิดเหมือนกันได้ และในระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย ต้องการให้มีความหลากหลายทางความคิด อย่างในประเทศที่เป็นประชาธิปไตยจริงๆ มีกลุ่มที่คอมมิวนิสต์ และ ฟาสซิสต์ ด้วยครับ แต่ตามหลักการประชาธิปไตย ต้องยอมให้มี (เช่น ในอเมริกา)
อย่าง เรื่องที่ Idealist พูด มักจะเป็นเรื่องเผ้อฝันสำหรับ Realist และ
เรื่องที่ Realist พูด มักจะเป็นเรื่องที่ฟังดูแล้ว รู้สึกขัดกับศีลธรรม สำหรับ Idealist
สำหรับการเปิดรับสิ่งใหม่
Liberalism ก็จะมอง Conservatism ว่าหัวโบราณ เกลียดการเปลี่ยนแปลง ย่ำอยู่กับที่ ไม่พัฒนา ในขณะที่
Conservatism ก็จะมอง Liberalism ว่ากระแสนิยม มองไม่เห็น หรือไม่เข้าใจความดี ความงดงามของวัฒนธรรม (หรือ ระบบสังคม) ของตน
อย่างเรื่อง Capitalism
ถ้า Capitalism จ๋า จดปล่อยให้มีการผูกขาด ก็จะเกิดระบบที่เป็นเผด็จการทางการค้าขึ้นมา เช่น การกำจัดคู่แข่งโดยใช้อำนาจเงิน ลดราคาสินค้าจนคู่แข่งอยู่ไม่ได้ เทคโอเวอร์บริษัทคู่แข่ง แล้วพอหมดคู่แข่ง ก็ขึ้นราคาตามใจชอบ
แต่ถ้าไม่เอา Capitalism ก็จะเป็นเผด็จการ Fascism หรือ Marxism อยู่ดี เพราะในระบบสังคมนิยม ยังเป็น Capitalism เลยครับ
อย่างบางประเทศมองว่า การที่ต้องมีเงิน ถึงจะได้มาในสิ่งที่เป็นปัจจัย 4 ไม่ใช่เรื่องที่ถูก เลยเกิดแนวคิดให้ Social Security ขึ้นมา คือ ให้ สวัสดิการรักษาพยาบาล หรือ การศึกษาฟรี บางประเทศจะมีที่อยู่ให้กับคนยากไร้ด้วย ซึ่ง แนวคิดนี้ บางคนก็บอกว่าเป็นแนวคิดของสังคมนิยม แต่ฝ่ายที่เป็นประชาธิปไตย ก็แย้ง ว่า หาฐานะเป็นตัวแบ่งแยกให้คนไม่สามารถเข้าถึง การรักษาพยาบาล และการศึกษา ระบบที่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นก็เป็นระบบแบ่งแยกชนชั้น
ว่าง่ายๆ คือ ไม่มีอะไรสมบูรณ์ 100%
Democracy + Capitalism + Social security เป็นระบบที่มาไกล และใกล้เคียงความจริงที่สุดแล้วครับ ซึ่งเป็นอะไรกลางๆ อยู่ค่อนไปทาง Democracy แต่มี Socialism บนหน่อยๆ เป็น Capitalism แ่ต่รัฐมีแทรกแซงบ้างไม่ให้เกิดการผูกขาด ประเทศที่เป็นระบบแบบนี้ ก็เช่น แคนาดา อังกฤษ ฝรั่งเศษ ซึ่งความเป็นอยู่คนประเทศเขาดีมากครับ
ถ้าประเทศไทยวิ่งไปตามแนวคิดคนเสื้อเหลือง 100% ก็จะเป็นระบบชนชั้น ที่เสื้อแดงกล่าวหาว่าเป็นระบบอำมาตย์
ถ้าประเทศไทยวิ่งไปตามแนวคิดคนเสื้อแดง 100% ก็จะเป็นระบบชนชั้น ที่เสื้อเหลืองกล่าวหาว่าเป็นระบบชนชั้นที่แบ่งแยกตามฐานะเงินทอง
อย่างถ้าเป็น Conservatism 100% ก็ไม่มีการพัฒนาครับ เชื่อว่าของเดิมดีหมด ดีอยู่แล้ว ย่อมไม่เกิดการไขว่ขว้าหาสิ่งใหม่ ประเทศก็ไม่ไปไหน เมื่อสิบปีก่อนเป็นประเทศกำลังพัฒนา ปัจจุบันก็เป็นประเทศกำลังพัฒนา และอนาคตก็จะเป็นประเทศกำลังพัฒนา
Liberalism 100% ก็หลงทางได้ครับ พัฒนาโดยไม่สนสิ่งเก่า ไม่สนว่าของเก่าทำไมทำแบบนั้น อย่างในจีนก็เคยเกิดขึ้น สมัยเติ้ง เสี่ยวผิง ที่เป็น Realist Liberalism จ๋า เอาตำราความรู้เก่าๆ ไปเผา จนผู้มีภูมิความรู้จากสมัยก่อน ต้องหนีกระจัดกระจายออกนอกประเทศเกือบหมด
--สวัสดีครับ อดิศร ครับ
เมื่อสองสามวันก่อนบ้านเราได้มีการแสดงทัศนะทางการเมืองกันนะครับ ดีครับ เพราะการเมืองก็เกี่ยวข้องกับเราทุกคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าใครสีไหน ใครเชียร์ใคร ในขณะที่มีการเจรจาทางการเมืองของทั้งสองฝ่ายเกิดขึ้นมาให้เราได้เห็น
ผมเลยขอถือโอกาสนี้ให้พวกเรามาเก็บเกี่ยวบทเรียนหนึ่งที่สำคัญในการบริหารกันดีกว่าครับ เพราะ เป็นโอกาสที่ดีที่เราจะได้ศึกษาในเรื่องของ “ การเจรจาต่อรอง” กันอย่างใกล้ชิด เหก็นภาพจริงที่เกิดขึ้นเป็นระยะ ๆ ผมแนบไฟร์ในหลักการภาคทฤษฎีมาให้พวกเราได้ศึกษาทำความเข้าใจกันด้วย เพราะอย่างไรเราก็ต้องใช้ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานหรือการใช้ชีวิตส่วนตัวของเรา ก็ต้องมี “การเจรจาต่อรอง” เรื่องนี้ลองสังเกตดูนะครับ ว่ามันอยู่กับเราในทุก ๆ วัน เพียงแต่บางครั้งเราไม่ได้สังเกต
ใครที่มีแฟนก็ต้องมีการเจรจาต่อรองกับแฟนบ้างล่ะครับ ตัวอย่างเช่น
จะขอออกไปเที่ยวกับเพื่อนฝูงก็ต้องเจรจาต่อรองกับแฟนนะ “ คืนนี้เค้าจะไปปาร์ตี้กับเพื่อนได้ป่าวอ่ะ กลับไม่ดึกหรอก ไปกันหลายคน นะ นะ นะ ที่รัก …จู๊ฟ ๆ ๆ ????? ” ถ้าแฟนไม่ให้ไปจะทำอย่างไร ? การเปิดฉากเจรจาต่อรองก็จะเริ่มกระบวนการขึ้นแล้วครับ แต่ถ้าเราไม่รู้หลัก และใช้วิธีเจรจาต่อรองที่ไม่ถูกต้อง
ก็อดไปเที่ยว *- * และอาจนำมาซึ่งการทะเลาะกันในที่สุดได้
ความเสียหายที่คาดไม่ถึงก็ไม่ยากที่จะเกิดขึ้นนะครับ
ถ้าในเรื่องงานก็มีสารพัดเรื่องที่เราต้อง เจรจาต่อรองอย่างแน่นอน หลีกเลี่ยงไม่ได้เสียด้วย ถ้าเราไม่รู้หลักที่ดีคงไม่ต้องพูดถึงนะครับ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง อย่างน้อยที่สุดก็มีผลต่อความรู้สึก ต่อจิตใจ ที่ทำให้เราเกิดภาวะความเครียด หรืออาจจะเกิดความสะใจที่เป็นผู้ชนะ แต่ผลสุดท้ายองค์กรเสียหายครับ
ลองมามองกระบวนการทางการเมืองในแนวนี้และเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ที่ได้กันดีกว่าครับ จะได้ไม่เครียด
แล้วเรามาฝึกเจรจาขอแฟนไปเที่ยวกัน รับรองว่าสำเร็จครับ ….
เรามาดูปัจจัยสำคัญของการเจรจาต่อรองกันครับ ต้องมีอะไรบ้าง ผมขออนุญาตนะเสนอในเชิงทฤษฎีและทัศนะส่วนตัวไปพร้อม ๆ กันนะครับ
- เป้าหมายหรือเรื่องของการเจรจาต่อรอง โจทย์มีตั้งเอาไว้ว่าอย่างไร ? หรืออะไรที่เป็นข้อเรียกร้องของคู่เจรจาบ้าง ?
ในบรรยากาศของการเจรจาทางการเมืองครั้งนี้ ฝ่ายผู้ชุมนุมได้ตั้งโจทย์ว่า รัฐบาลต้องยุบสภา
และรัฐบาลเปิดรับการเจรจาที่เป็นโจทย์ประเด็นสำคัญในกรณีนี้ โดยมีเหตุผลที่แสดงให้เราได้เห็นถึงเจตนาว่า “เพื่อให้บ้านเมืองเกิดความสงบเป็นปกติ” ?
- คู่เจรจา ปัจจัยข้อนี้ที่สำคัญคือ จำนวนผู้เข้าร่วมเจรจาแต่ละฝ่าย ต้องเหมาะสม ไม่มากไปหรือน้อยไป
และต้องเป็นผู้เกี่ยวข้องตัวจริงในเรื่องของเป้าหมายของการเจรจา , ต้องมีอำนาจในการตัดสินใจในระดับสูงพอสมควร และแต่ละฝ่ายต้องมีเอกภาพ มีจุดยืนในเรื่องเดียวกันเท่านั้น
คู่เจรจาทางการเมืองครั้งนี้ลองพิจารณาดูกันเองนะครับ ว่าเป็นอย่างไรบ้าง?
3. บรรยากาศและสถานที่ในการเจรจา ต้องสงบ เพื่อให้เกิดสมาธิมากที่สุด , สถานที่ที่ดีในบางกรณีก็ต้องเป็นกลาง เพื่อไม่ให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบ แต่ก็ไม่เสมอไปนะครับ บางเรื่องที่มีการเปิดเจรจาอาจจะต้องเลือกสถานที่ที่ให้เกิดความได้เปรียบเชิงบริหาร หรือเกิดความเป็นทางการด้วย ปัจจัยด้านนี้ต้องแล้วแต่ว่า โจทย์คืออะไรและเป็นสถานการณ์ไหนครับ
ที่เราได้เห็นในกรณีการเมืองครั้งนี้จะเห็นว่า มีการเริ่มต้นด้วยการหาสถานที่เป็นกลางมากที่สุด
และพอใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย แต่บรรยากาศที่ให้เกิดสมาธิผมไม่ทราบเพราะไม่ได้อยู่ในห้องนั้นด้วย แต่เท่าที่ดู ห้องน่าจะใหญ่โตกว้างขวางเกินไปหน่อยนะครับ รวมทั้งมีปัจจัยเรื่องของการถ่ายทอดสดมารบกวนการเจรจา แต่ก็ด้วยเหตุผลว่าต้องการให้ประชาชนได้ทราบ แต่อย่างไรก็ตามมันมีผลต่อเนื้อหาของการเจรจาแน่นอนเช่นกันครับ บรรยากาศที่เราได้เห็นมันจึงเป็นการเจรจาต่อรองเชิงอภิปรายไม่ไว้วางใจยังไงไม่ทราบนะครับ ต่างฝ่ายก็มีความจำเป็นต้องโฆษณาประชาสัมพันธ์ไปในตัวเพื่อประโยชน์ในอนาคต
- เอกสารหรือข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริง ( อาจบางส่วน หรือ ทั้งหมด ก็แล้วแต่กลยุทธ์ในการเจรจาของแต่ละฝ่าย ) ที่ต้องนำมาแสดงให้คู่เจรจาได้เห็นภาพชัดเจน
กรณีที่เราได้เห็นคือหมอเหวงเอาภาพถ่ายมาแสดง ก็คือปัจจัยข้อนี้นั่นเองครับ แต่จะเกี่ยวข้องกับโจทย์มากน้อยแค่ไหน วินิจฉัยกันเอาเองนะครับ ?
- วัสดุ อุปกรณ์ ที่เกี่ยวข้องหรืออาจจะเป็นของกลาง ต่อกรณีที่มีการเจรจากัน
ยังดีที่ไม่มีการเอาลูกระเบิดมาแสดงในการเจรจาครั้งนี้นะครับ ถ้ามีก็จัดว่าเป็นปัจจัยข้อนี้นั่นเองครับ
ทั้ง 5 ข้อนี้คือปัจจัย สำคัญ ๆ ที่จะต้องมีในการเจรจาให้ลุล่วงไปนะครับ คงไม่เรียกว่าเป็นวิชาการนะ เพราะผมก็ไม่ใช่นักวิชาการ ผมเขียนมาจากประสบการณ์ในการทำงานภาคธุรกิจและการที่อยู่ในฐานะผู้บริหารฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ และต้องใช้การเจรจาต่อรองเป็นประจำเท่านั้น ใครมีอะไรเพิ่มเติมก็ยินดีครับ
เรื่องต่อไปที่เป็นเรื่องที่จะต้องทำความเข้าใจกันให้ดีเสียก่อนที่จะเริ่มกระบวนการเจรจาต่อรองก็คือว่า
การเจรจาต่อรองนั้น ถ้าเปรียบเทียบแล้ว มันจะคล้ายกับการเล่นการพนัน แต่ไม่ใช่กีฬาครับ
กล่าวคือการเจรจาต่อรองจะมี “ได้ ” และมี “เสีย ” ควบคู่กันไปทุกครั้งและเป็นผลของการเจรจาต่อรองที่ถูกต้องซึ่งคู่เจรจาทั้งสองฝ่ายจะได้รับทั้งสองอย่างนี้เสมอในการเจรจาครับ จะไม่มีผู้ “แพ้ ” ผู้ “ชนะ”: หรือ “เสมอ ” ก็ไม่มีครับ ครับ มีแต่ “ชนะ” ด้วยกันทั้งสองฝ่าย ( win win ) เมื่อการเจรจาต่อรองเสร็จสิ้นเท่านั้น ซึ่งถือว่าคือความสำเร็จของการเจรจาต่อรองและชัยชนะของแต่ละฝ่ายนั้น จะต้องมีการ “เสีย ” อะไรบางอย่างแน่นอนครับ
หากคู่เจรจาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ทำความเขาใจตรงนี้ให้ดีเสียก่อน คิดอยู่อย่างเดียวว่าตัวเองต้องชนะเท่านั้น เค้าไม่เรียกกระบวนการเจรจาต่อรองครับ และการเจรจาต่อรองที่มีขึ้นก็จะไม่บรรลุผลแน่นอนเพราะผู้ที่ต้องการคำว่า “ชนะ” จะไม่ยอม “เสีย ”อะไร มุ่งแต่จะเอา “ได้ ” เท่านั้น ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยในหลักการที่ถูกต้องของการเจรจาต่อรองที่จะเต็มไปด้วยเงื่อนไขต่าง ๆ มากมาย เงื่อนไขบางเรื่องต้องยอมที่จะ “เสีย ” เพื่อให้ “ได้ ” ในบางเรื่องที่เป็นเป้าหมายเดียวกันและพอใจกันทั้งสองฝ่าย
อย่าลืมเรื่องนี้เด็ดขาดนะครับ การที่เราจะขอแฟนออกไปปาร์ตี้ อย่าคิดว่าเราจะชนะนะครับ คงไม่ได้ไปแน่ หรืออาจจะได้ไปแต่ต้องมาทะเลาะกัน แต่ให้คิดว่า เราไปครั้งนี้เราอาจจะเสียอะไรไปบ้าง เราต้องยอมอะไรเค้าบ้างที่เค้าอาจจะยื่นข้อเสนอมาให้เราพิจารณา และเราต้องรีบรับเอาไว้ครับ หรือถ้าแฟนเราเฉย ๆ ให้พึงระวังว่า เค้าต้องการเอาชนะเราเช่นกัน อันนี้เราก็ต้องเป็นฝ่ายรีบยื่นข้อเสนอที่เค้ามิอาจปฏิเสธได้ เพื่อให้แฟนรอพอใจครับ ????? อย่างนี้ถ้าจะกลับเช้าเลยก็คงไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะครับ ถ้าข้อเสนอเราพิเศษมาก ๆ
เรื่องต่อไปครับ ที่จะต้องทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ถึงธรรมชาติของการเจรจาต่อรองก็คือว่า
มันจะมีสิ่งที่อยู่เหนือน้ำ และอยู่ใต้น้ำเสมอครับ ไม่มีการเจรจาต่อรองใดในโลกนี้ ที่จะมีเงื่อนไขที่อยู่เหนือน้ำทั้งหมด และหากมีขึ้นมาเมื่อใดก็ตามคู่เจรจาที่มีทุกอย่างอยู่เหนือน้ำ จะเสียเปรียบการเจรจาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และจะจบลงด้วยความล้มเหลวทั้งคู่ แต่โดยธรรมชาติจริง ๆ จะไม่มีครับ หรือหากจะมีจริง ๆ ก็ต่อเมื่อกระบวนการเจรจานั้นได้สิ้นสุดลงแล้วและเกิด win win ขึ้นมาแล้วก็อาจจะมีบ้างที่คู่เจรจาเปิดสิ่งที่อยู่ใต้น้ำขึ้นมาเต็มที่ แต่ก็น้อยล่ะครับที่จะมี
เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมากครับ การบวนการเจรจาต่อรองจะประสบผลสำเร็จหรือไม่ ก็อยู่ตรงที่ไอ้อยู่ใต้น้ำ นี่ล่ะครับ ว่าแต่ละฝ่ายจะยอมปล่อยออกมาอย่างไรในจังหวะไหน ปล่อยออกมาได้หรือไม่ และหากจังหวะนั้นเหมาะสมต่างฝ่ายต่างปล่อยออกมาพอดี ๆ มันก็จะมาอยู่ในกรอบหรือขอบเขตุหรือย่านความถี่เดียวกันแล้วแต่จะเรียกครับ ตรงนี้ขึ้นอยู่กับไหวพริบและความเก่งฉกาจของผู้เจรจาครับ ว่าจะมีลูกล่อลูกชนอย่างไรเพื่อให้อีกฝ่ายปล่อยของใต้น้ำออกมาให้ได้ และจับของใต้น้ำนั้นมาเป็นกลยุทธ์ว่าเราเสียอะไรได้บ้างที่พอเหมาะพอควรเพื่อเราจะได้อะไรกลับมานั่นเองครับ ใครๆ ก็ต้องการให้เสียน้อยที่สุด เท่าที่จะทำได้ และสิ่งสำคัญที่สุดคือการใช้ทักษะในการประนีประนอมประกอบกันเป็นจังหวะ ๆกับการรุกคืบด้วยครับ และหากการเจรจาต่อรองสำเร็จลงด้วยดี สิ่งสำคัญคืออย่าลืมแสดงความยินดีซึ่งกันและกันโดยเด็ดขาด เพราะอาจจะต้องมีการเจรจาเรื่องหนึ่งเรื่องใดกันต่อไปในอนาคต ที่คู่เจรจาต้องเตรียมตัวไว้ให้ดีครับ อย่าลืมว่า ไม่มีมิตรแท้หรือศัตรูที่ถาวร และคู่เจรจาก็มิใช่ศัตรูครับ ขอให้มองเผื่ออนาคตเอาไว้ในกระบวนการเสมอทุกครั้งนะครับ
อ่ะ… ตัวอย่างครับตัวอย่าง จำลองสถานการณ์นะครับ
“น้อง ๆ คืนนี้พี่มีปาร์ตี้นะ แต่เดี๋ยวพี่จะกลับไปบ้านอาบน้ำอาบท่าก่อนแล้วค่อยไป นัดกันไว้ ทุ่มนึงไปกินอะไรกันนิดหน่อยอ่ะนะ ไม่ดึกหรอก สี่ทุ่มก็คงกลับแระ เดี๋ยวเจอกันที่บ้านนะที่รัก ไม่ต้องเตรียมกับข้าวเผื่อนะ เปลืองเปล่า ๆ” เป็นการตั้งโจทย์ของฝ่ายสามีเพื่อประเมินสถานการณ์ก่อนครับ ถ้าฝ่ายภรรยาตอบมาแบบแจ่มใส จ๊ะจ๋า ๆ กลับมา กระบวนการเจรจาก็ไม่ยุ่งยากมากนักคงเตรียมยื่นข้อเสนอเพื่อเป็นการเอาอกเอาใจเผื่อไว้โอกาสหน้าก็พอ แต่ถ้าเงียบ ๆ อือ อือ กลับมาทางสายโทรศัพท์ล่ะก็ เตรียมปัจจัยต่างๆ ไว้ให้พร้อมเพื่อเปิดการเจรจาต่อรองแล้วกัน
สมมุติว่า อือ อือ นะ สามีก็ต้องกลับบ้านตามเวลาปกติครับ อย่ากลับเร็วผิดปกติล่ะ พิรุธครับ และทำให้สถานการณ์การเจรจาต่อรองที่มีขึ้น ยุ่งยาก เพราะเราไปสร้างแรงกดดันให้คู่เจรจาโดยไม่จำเป็นเลยครับ ขอให้ทำตัวตามปกติให้มากที่สุด ( แม้ว่าในใจจะตื่นเต้นหรือจะยินดีเพียงใดก็ตาม) กลับบ้านมาก็ทักทายตามปกติที่เคยทำ ๆอยู่ แล้วก็ไปอาบน้ำ ถามคู่เจรจาสักคำนะครับว่าควรจะใส่ชุดไหนไปงานดี
เป็นการให้เกียรติคู่เจรจาครับ อย่าเอาแต่ใจเลือกชุดเอง เพราะชุดที่เราเลือก รับรองว่าจะไม่เป็นที่ถูกใจของคู่เจรจาแน่นอนครับ แล้วจะสร้างแรงกดดันให้คู่เจรจาโดยไม่จำเป็นเช่นกัน ส่วนน้ำหอมก็ขอให้ใช้กลิ่นเดิมที่เราเคยใช้นะครับ ข้อสำคัญคืออย่าลืมแอบเอาติดไปด้วยแล้วกัน เพราะหากเราได้ไปปาร์ตี้แล้วเกิดมีน้ำหอมกลิ่นอื่นติดมา เราจะได้ใช้น้ำหอมของเราฉีกกลบเสียตอนกลับมาบ้านครับ เพื่อเป็นผลให้การเจรจาครั้งต่อไปราบรื่น เราต้องมีกลยุทธ์ที่เผื่ออนาคตไว้ทุกครั้งครับ ( แอบติดเอาไว้ให้ดีนะครับ )
เมื่อเตรียมการขั้นแรกเพื่อสร้างบรรยากาศในการเจรจาให้ดีไว้แล้ว ก็มาเริ่มเจรจาได้ครับ เลือกสถานที่ในบ้านดี ๆ หน่อยนะครับ ควรเลือกสถานที่ที่คู่เจรจาชอบสถานที่นั้นเป็นพิเศษ ลองหาดูเอาเองครับ บ้านใครบ้านมัน… ผมไม่ทราบ ….
เริ่มต้นด้วยการให้ข้อมูลก่อน ตรงนี้ล่ะครับจะมีทั้งที่อยู่เหนือน้ำและใต้น้ำ ที่อยู่เหนือน้ำก็ควรบอกให้ชัดเจนลงไป เช่นไปกับใครบ้าง ไปที่ไหน จะกลับเวลาเท่าไร ยิ่งถ้ามีคนที่คู่เจรจารู้จักด้วยยิ่งดีครับ
( แต่ถ้าคนที่รู้จักเคยมีประวัติไม่ดีมาก่อน ก็ควรเก็บเค้าเอาไว้ใต้น้ำนะครับ ) ที่อยู่เหนือน้ำก็เปิดไปให้หมด ส่วนที่อยู่ใต้น้ำยังไม่มีความจำเป็นต้องเปิดออกไปนะครับ เปิดไปแล้วมีโอกาสล้มเหลวได้ง่าย ผู้ที่เจรจาต่อรองเก่ง ๆ ย่อมไม่เปิดไปก่อนครับ และถ้าคู่เจรจาซักถามลึกลงไปอีก ไม่ต้องวิตกครับ เพราะเป็นการเริ่มต้นการเจรจาที่ดีแล้ว ไม่ต้องตกใจ ควบคุมอารมณ์ให้ดี ๆ ต้องเข้าใจว่าตรงนี้คู่เจรจาจะเริ่มหาของที่อยู่ใต้น้ำกับเราแล้ว มันเป็นธรรมชาติของการเจรจาต่อรอง เราก็ค่อย ๆ เปิดของที่อยู่ใต้น้ำออกไปนิด ๆ หน่อย ๆ อย่าไปสร้างแรงกดดันหรือพูดทำนองท้าทายโดยเด็ดขาดครับ ไม่มีประโยชน์อะไร เช่น ถ้าถามว่ามีสาว ๆ ไปด้วยไหม เราก็บอกไปว่า ไม่แน่ใจนะ เพราะที่นัดกันก็เฉพาะ เพื่อนผู้ชายที่เรียนมหาลัยด้วยกัน แล้วก็ไอ้….ที่ทำงานมันก็ไปด้วย จำได้มั้ย คนที่เคยพาแฟนมันมากินข้าวบ้านเราไง มันคงพาแฟนมันไปด้วยมั้ง เพราะคู่นี้มันไม่ห่างกัน แฟนมันขี้หึง จะว่าไปก็หึงมากเกินไป กลายเป็นว่าไม่ค่อยให้เกียรติสามีด้วยซ้ำ ????? ในงานคงตามไปคุมด้วยนั่นแร่ะ แล้วคนอื่น ๆ ก็ไม่รู้ว่าเค้าจะพาแฟนไปด้วยรึป่าว แต่คิดว่าคงจะไม่มากกว่า เพราะมีผู้หญิงไปด้วยมันคุยเรื่องงานกันไม่สนุก และผู้หญิงไปคงเบื่อน่าดู เพราะไปปาร์ตี้ก็จริง แต่มีเรื่องงานคุยเยอะเลย ไม่ได้เจอกันนาน…แต่ละคนมีปัญหาคุยโทรศัพท์ปรึกษากันประจำ แต่ยังไม่เคยนัดมาเจอกันซะที ว่าไปครับ ว่าไป แต่อย่าพล่ามมากจนเวอร์นะครับ
ถ้าคู่เจรจาเริ่มสบายใจ จะมีสัญญาณบอกมาให้เราทราบครับ เช่น ถ้างั้นอย่าให้ดึกมากนะ สี่ทุ่มที่บอกมาก็ต้องกลับล่ะ ไม่ใช่ไปต่อที่ไหนนะ เป็นสัญญาณว่าเราสามารถปิดการเจรจาได้แล้วครับ
ตรงนี้คือข้อสำคัญว่า ข้อตกลงเป็นอย่างไรเราต้องมีวินัยที่จะทำให้เป็นไปตามนั้น เงื่อนไขเวลาอย่างนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนนะครับ ผลกระทบตามมามีเยอะเสียด้วย ถ้าเราไม่มีวินัยเพียงพอ ถ้าเห็นว่า สี่ทุ่มไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะของใต้น้ำมันเยอะหรือคนที่เราไปปาร์ตี้ด้วยนั้นยังไม่มีเอกภาพเพียงพอและเราเองก็อาจไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ในขณะนั้นได้ มันก็อาจจะไม่ทันเวลาสี่ทุ่มก็ได้ ก็ขอให้เจรจากันเสียตั้งแต่จังหวะนี้ครับ อย่าได้หลงดีใจรีบปิดการเจรจาไปเสียก่อน เพราะการเจรจายังไม่ยุตินะครับ หรือถ้าตรงข้ามคู่เจรจายื่นข้อเสนอมาว่าให้กลับสามทุ่ม ก็ต้องมาเจรจากันอีกครับ จังหวะนี้ของการเจรจาจะเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ ที่เป็นผลให้การเจรจานั้นจบลงแบบ win win หรือไม่ และต้องใช้ทักษะมากมายในกระบวนการนี้ครับ ต้องกล้าที่จะยื่นข้อเสนอซึ่งกันและกัน และกล้าที่จะเอาของใต้น้ำออกมาอย่างเหมาะสมเพื่อให้เกิดความพอใจทั้งสองฝ่ายเกิดขึ้นให้ได้ ข้อเสนอบางอย่างถ้าต้องลงทุนก็ต้องลงทุน ถ้าต้องลงแรงก็ต้องลงแรง และต้องพูดถึงความเป็นจริงที่จับต้องได้เท่านั้น คู่เจรจาทั้งคู่ห้ามรื้อฟื้นเหตุการณ์ในอดีตมาเป็นเงื่อนไขโดยเด็ดขาดครับ เพราะมันคนละเวลาคนละสถานการณ์คนละเงื่อนไขกัน เช่นถ้าคู่เจรจาพูดว่า เมื่อครั้งก่อนที่ขอไปปาร์ตี้บอกว่าเที่ยงคืนจะกลับ เห็นมาเอาเช้าเลย แถมมีลิปติคติดเสื้อมาด้วย จะว่ายังไง อย่างนี้ไม่ควรพูดออกมาครับ เพราะการเจรจาจะไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ มันคนละเวลา คนละเงื่อนไข คนละสถานการณ์โดยสิ้นเชิง ไม่มีประโยชน์ครับ ควรพูดเฉพาะในประเด็นของคืนนี้เท่านั้น มิเช่นนั้นแล้วก็จะเป็นการเปิดประเด็นใหม่ ๆ ขึ้นมา เช่น ทีเธอไปซื้อเสื้อผ้า ซื้อเครื่องสำอาง ไปช็อปปิ้งกับเพื่อนซะดึกดื่นแค่ไหน สิ้นเปลืองเงินทองไปแค่ไหน ของแพง ๆ ทั้งนั้น ซื้อมาแล้วก็ไม่เห็นได้ใช้ ชั้นไม่เคยว่าอะไรซักคำ ตกลงเธอแดงรึเหลืองกันแน่ แล้วตกลงจะยุบรึไม่ยุบ เป็นเรื่องอื่นไปครับ ตกลงว่าคืนนี้ก็ไม่ได้ไปปาร์ตี้ และต้องมาถกเถียงเรื่องในอดีตกันทั้งคืนไม่ได้หลับได้นอนกัน เสียหายครับเสียหาย
ควรเอาให้อยู่ในกรอบว่าคืนนี้ตกลงแล้วจะกลับบ้านเมื่อไหร่ เอาให้ชัดเจนกัน ต่อรองกันแล้ว ถ้าคู่เจรจาพูดอยู่ในกรอบอย่างนี้เท่านั้น ก็จะหาข้อสรุปได้แน่นอนครับ ว่าจะสี่ทุ่มหรือเที่ยงคืน แต่สามทุ่มก็คงเป็นไปไม่ได้ แต่เดินทางก็ปาเข้าไปชั่วโมงนึงแล้ว ยังไงก็ไม่ทัน ก็ต้องยอมรับกันในข้อเท็จจริงครับ หรือถ้าเที่ยงคืนมันก็มากไป ห้าทุ่มกำลังสวยครับ
ถ้ามีการเจรจาที่ออกนอกกรอบไป คู่เจรจาก็ควรควบคุมสมาธิให้ดี และดึงให้การเจรจากลับมาอยู่ในกรอบให้เร็วที่สุดครับ ซึ่งต้องช่วยกันทั้งสองฝ่าย เพราะโอกาสที่จะเกิดอย่างนี้ย่อมเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
เรื่องในอดีตถ้าฝ่ายใดผิดจริง ก็กล่าวคำขอโทษให้กันและกันครับ และอีกฝ่ายก็ต้องระลึกในอัตโนมัติว่า นี่คือการหลุดกรอบการเจรจา ผิดหลักวิธีการเจรจาต่อรองซึ่งจะต้องไม่การกล่าวหากล่าวโทษซึ่งกันและกันโดยเด็ดขาดและต้องให้อภัยทันทีเพื่อยุติเรื่อง ครับ
หากสามารถหาจุดร่วมที่เป็นที่พอใจกันได้แล้ว สิ่งที่ควรทำคือการยื่นข้อเสนอเพิ่มเติมอื่น ๆ ที่เราพิจารณาแล้วว่าไม่มีอะไรเสียหายมากนัก เป็นการสร้างสัมพันธ์ภาพที่ดีเพื่อประโยชน์ในอนาคตด้วย ตรงนี้เป็นการใช้จิตวิทยาเชิงสร้างสรรค์ ที่ควรจะต้องดำเนินกระบวนการนี้ทุกครั้งหากมีความเป็นไปได้นะครับ คู่เจรจาต้องเตรียมการไว้เนิ่น ๆ อย่างชาญฉลาดเอาไว้ด้วย เช่น อืม เธอเป็นคนดีจังนะ ชั้นจะไม่มีวันทำให้เธอเสียใจและผิดหวังโดยเด็ดขาด เดี๋ยวกลับมาจะซื้อของมาฝาก อยากได้อะไรล่ะ หรือไม่งั้นก็ เดี๋ยวอาทิตย์หน้าเราไปเที่ยวกันนะ จะพักร้อนซะหน่อย ไปไหนก็ได้แล้วแต่เธอ หรืออยากจะไปช็อปปิ้งอะไรเดี๋ยวเอาบัตรไปเลยนะ รูดเอาตามใจแล้วกัน…. เป็นการให้รางวัลที่แน่นอนครับว่าเราอาจจะต้องเสียอะไรบางอย่างไปบ้าง แต่มันก็คุ้มค่าในอนาคตนะครับ ข้อสำคัญคือพูดไปแล้วก็ต้องทำตามที่พูดนะครับ ขอบอก… อย่าให้สิ่งที่เราพูดกลายเป็นเรื่องเพ้อฝันของอีกฝ่ายโดยเด็ดขาดครับ
เอาล่ะครับ เรามาดูนะครับ ว่าเรื่องการเมืองที่กำลังเจรจาต่อรองกันอยู่นี้ อะไรอยู่เหนือน้ำ อะไรอยู่ใต้น้ำ
และใครจะปลดปล่อยของใต้น้ำอะไรออกมาบ้าง คู่เจรจาแต่ละคนเป็นอย่างไร กระบวนการเป็นอย่างไร ดูประกอบไปกับบทความนี้รวมทั้งไฟร์ที่ผมแนบมาให้ศึกษากันนะครับ เราจะได้ประโยชน์มากทีเดียว
ทัศนะส่วนตัวของผมมีเรื่องเดียวคือ ไม่ว่าใครก็ตาม ฝ่ายไหนก็ตาม ณ ปัจจุบันนี้ ผมไม่อยากให้เรียกฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด พวกเสื้อสีอะไรอีกต่อไปครับ เพราะมันจะทำให้ความแตกแยกเกิดขึ้นอย่างชัดเจน ไม่ยุติง่าย ๆ เสียที รัฐบาลก็ไม่ควรเรียกฝ่ายหนึ่งว่า พวกเสื้อแดง พวกเสื้อแดงก็ไม่ควรเรียกฝ่ายอื่นว่าเสื้อเหลือง เสื้อน้ำเงิน หรือแม้กระทั่งตัวเองว่า พวกคนเสื้อแดงด้วยซ้ำไป
ทุกคนมีสีเดียวเท่านั้นคือสีธงชาติไทย ที่ประกอบไปด้วย ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เท่านั้นนะครับ
ส่วนอะไรที่อยู่ใต้น้ำของแต่ละฝ่ายนั้น ผมขอเก็บไว้ในใจไม่ขอแสดงความคิดเห็น ณ ที่นี้ครับ
อดิศร
Hotmail: อีเมลฟรีประสิทธิภาพสูงที่มีการรักษาความปลอดภัยโดย Microsoft รับทันที
- โปรดร่วมกัน เสวนา ถาม-ตอบ วันละ 1 กระทู้ สร้างความรู้ใหม่ได้ มหาศาล -
แนะนำ :
http://www.JobSiam.com : โปรโมชั่น*! ส่วนลด ประกาศรับสมัครงาน 10% ถึง 30 เมษายน 2553 นี้ เท่านั้น.
http://www.SiamHRM.com : สยามเอชอาร์เอ็ม ดอทคอม รวมพลคนทำงาน มากที่สุด
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
คุณได้รับข้อความนี้เนื่องจากคุณเป็นสมาชิกกลุ่ม Google Groups กลุ่ม "บริหารทรัพยากรมนุษย์ ประเทศไทย"
- หากต้องการโพสต์ ถึงกลุ่มนี้ ให้ส่งอีเมลไปที่ siamhrm@googlegroups.com
- หากต้องการยกเลิกการเป็นสมาชิกกลุ่ม ส่งอีเมลไปที่ siamhrm+unsubscribe@googlegroups.com (ยืนยัน การยกเลิกใน Email อีกครั้ง.)
- หากต้องการดูกระทู้ หัวข้อ HR โปรดไปที่กลุ่มนี้โดยคลิกที่ http://groups.google.co.th/group/siamhrm?hl=th&pli=1
- เนื่องจากสมาชิกมีจำนวนมาก สมาชิกทุกท่าน ควรอ่านกติกา มารยาท และใช้เมล์กรุ๊ปร่วมกัน อย่างสร้างสรรค์
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
--
- โปรดร่วมกัน เสวนา ถาม-ตอบ วันละ 1 กระทู้ สร้างความรู้ใหม่ได้ มหาศาล -
แนะนำ :
http://www.JobSiam.com : โปรโมชั่น*! ส่วนลด ประกาศรับสมัครงาน 10% ถึง 30 เมษายน 2553 นี้ เท่านั้น.
http://www.SiamHRM.com : สยามเอชอาร์เอ็ม ดอทคอม รวมพลคนทำงาน มากที่สุด
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
คุณได้รับข้อความนี้เนื่องจากคุณเป็นสมาชิกกลุ่ม Google Groups กลุ่ม "บริหารทรัพยากรมนุษย์ ประเทศไทย"
- หากต้องการโพสต์ ถึงกลุ่มนี้ ให้ส่งอีเมลไปที่ siamhrm@googlegroups.com
- หากต้องการยกเลิกการเป็นสมาชิกกลุ่ม ส่งอีเมลไปที่ siamhrm+unsubscribe@googlegroups.com (ยืนยัน การยกเลิกใน Email อีกครั้ง.)
- หากต้องการดูกระทู้ หัวข้อ HR โปรดไปที่กลุ่มนี้โดยคลิกที่ http://groups.google.co.th/group/siamhrm?hl=th&pli=1
- เนื่องจากสมาชิกมีจำนวนมาก สมาชิกทุกท่าน ควรอ่านกติกา มารยาท และใช้เมล์กรุ๊ปร่วมกัน อย่างสร้างสรรค์
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น