วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

นิตยสารธรรมะใกล้ตัว ฉบับที่ ๑๔๗ ประจำวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๕๕



จากใจ บ.ก. ใกล้ตัว - ฉบับที่ ๑๔๗


ความสามารถในการลืม


dungtrin_new2
ลืมความรู้ถือว่าไร้ความสามารถ
แต่ลืมคำด่าถือว่ามีความสามารถ!

ถ้าเปรียบเทียบเมื่อสักยี่สิบปีก่อนกับตอนนี้
หลายคนอาจสังเกตว่าเสียงก่นด่าเกลื่อนกลาดขึ้นทุกที
เรื่องเล็กเรื่องน้อยก็ด่ากัน
หรืออย่างน้อยก็ทำหน้าอยากด่าอย่างเปิดเผย
ไม่ค่อยปิด ไม่ค่อยเก็บงำกันเหมือนยุคมีมารยาท

ดูๆแล้วสิ่งที่น่าจะเป็นแพะรับบาปน่าจะได้แก่สื่อมวลชน
ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดในการขายข่าวร้าย
การสัมภาษณ์แบบถึงลูกถึงคน
ตลอดจนการเผยแพร่การประชุมสภา
ซึ่งเต็มไปด้วยภาพและเสียงที่ปลูกฝังความก้าวร้าว
ผ่านวิธีด่ากันแบบโผงผางไม่เกรงใจ

นอกจากนั้น ยุคเรายังมีอินเตอร์เน็ต
ที่เป็นแหล่งเปิดเผยความคิด
เปิดเผยไส้พุงทุกขดออกมาอย่างเมามัน
โดยไม่มีใครสามารถควบคุม ไม่มีใครห้ามได้
แม้แต่กระทู้ขอความเห็นใจ
ก็อาจกลายเป็นแหล่งซ้ำเติมเจ้าของกระทู้
คล้ายเห็นภาพคนล้มแล้วมีไทยมุงมารุมกระทืบ

โลกในเน็ตดูเผินๆเหมือนของปลอม
แต่ความสามารถยั่วยุให้อยากประทุษร้ายกันเป็นของจริง
การขาดจิตสำนึกไม่ใช่ของปลอม
และคนจำนวนมากสร้างเส้นทางแห่งความเดือดร้อนให้ตนเอง
ด้วยโลกปลอมๆในเน็ตนี่เอง
นึกง่ายๆว่าเมื่อไม่รู้ชื่อ ไม่รู้หน้า ก็ไม่เป็นไรแล้ว

โลกที่เต็มไปด้วยถ้อยคำด่าทอกันเพื่อความสะใจนั้น
ไม่ค่อยเหมือนโลกมนุษย์เท่าไหร่ 
คุณลองฝึกมองอย่างนี้ก็ได้ครับ คนทั่วไปเห็นได้
แต่ละครั้งที่มีการด่าสาดเสียเทเสีย
จะรู้สึกถึงคลื่นกระแทกอัดกัน
สภาพบรรยากาศมันทำให้นึกถึงแดนอสูรหรือเมืองยักษ์มาร
นั่นก็เพราะว่าแดนอสูรและเมืองยักษ์มาร
เป็นสิ่งที่อาศัยวจีทุจริตเป็นอิฐปูนในการก่อสร้างนั่นเอง

หากเป็นชาวพุทธที่หวังความเป็นพุทธจริงๆ
ก็ต้องฝึกเห็นคลื่นกระแทกมืดๆร้อนๆเหล่านั้น
เป็นภาวะลอยมาแล้วลอยไป
เข้าหูซ้ายแล้วก็ผ่านออกหูขวา
ไม่หลงหน้ามืดไปร่วมวงมัวเมากับเขาด้วย
ฝึกบ่อยๆจนกระทั่งจิตเหมือนมีกำแพงกั้น
ไม่ยอมรับความกระทบกระแทกเข้ามากระเทือนจิต
ถ้าได้อย่างนี้จะนับเป็นผู้มีธรรมคุ้มครองตน
คุณจะรู้สึกว่าจิตมีความสามารถขึ้นมาอย่างนั้น
คือ ลืมภาพที่ควรลืมได้ง่าย ลืมเสียงที่ควรลืมได้เร็ว

ทั้งนี้ทั้งนั้น มักมีคนบ่นกันว่าธรรมะสอนให้ดูดาย
ความจริงไม่ใช่ 
แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ทรงบัญญัติกฎกติกาไว้ลงโทษภิกษุ
ท่านทั้งตำหนิ ทั้งขนาบ ทั้งกักบริเวณ
นี่ก็แปลว่าเราเห็นคนผิดแล้วไม่ใช่ปล่อยเลยตามเลย
เพียงแต่เป็นด้วยกายทำตามหน้าที่
ไม่ใช่ด้วยใจคิดเบียดเบียนกัน
เห็นใครผิดก็ว่าตามผิด
ตำหนิตามควรให้เขากลับตัวได้ด้วยใจที่ไม่หงุดหงิด
แต่ไม่ใช่เห็นใครพลาดแล้วดิ่งเข้าไปรุมกระทืบซ้ำ
หรือสาปแช่งอย่างไม่ต้องมีเหตุผลประกอบ
เพราะเริ่มทำอย่างนั้นในอินเตอร์เน็ตได้
จิตก็ถูกปรุงแต่งให้อยากรุมประทุษร้าย รุมกระทืบ
รุมประชาทัณฑ์ในโลกความเป็็นจริงได้เหมือนกัน

กรรมที่ร่วมรุมประชาทัณฑ์ด้วยอารมณ์
จะเหวี่ยงเจ้าของกรรมไปสู่ความเป็นผู้เผลอทำผิดคิดพลาด
แล้วโดนรุมกินโต๊ะเข้าให้บ้าง
เห็นในแบบที่ผู้ทรงอภิญญาท่านรู้ได้ในห้วงมโนทวารแล้ว
นับเป็น ภาพย้อนกลับเข้าตัว’ ที่น่ากลัวครับ
อย่าเอาด้วยกับเขาเลย

ดังตฤณ
พฤษภาคม ๕๕

~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~

เรื่องน่าสนใจประจำฉบับ


ในเมื่อ ‘ความอยาก’ เป็นกิเลส 
แล้วความอยากที่จะบวชเพื่อดับกิเลส ถือเป็นกิเลสด้วยหรือไม่
คุณดังตฤณ จะมาตอบข้อสงสัยนี้ในคอลัมน์ “ดังตฤณวิสัชนา” ค่ะ

ใครที่กำลังประสบเรื่องทุกข์ร้อนอยู่ในขณะนี้
คุณมุทิตาฝากมาบอกว่า ทุกข์กับสุขนั้นมีค่าเท่ากันหากรู้จักมองด้วยปัญญา
ติดตามเรื่องของเธอได้ในคอลัมน์ “สรรพเพเหระธรรม” 
ตอน ขอบคุณทุกข์และสุข 

ทุกข์เกิดกับเราได้ทุกเมื่อไม่เลือกเวลาและสถานที่
คอลัมน์ “ธนาคารความสุข” ฉบับนี้
คุณ aston27 ขอยืนยันคำกล่าวนี้ฅ
โดยการพาไปรู้จักกับความทุกข์อีกหนึ่งรูปแบบ
ในตอน “ทุกข์ลอยฟ้า” ค่ะ

~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~

พบกันใหม่พฤหัสหน้า 
ที่ www.dlitemag.com นะคะ 
สวัสดีค่ะ (^__^)

ไม่มีความคิดเห็น: